Quantcast
Channel: บล็อก อ้อยหวาน
Viewing all 244 articles
Browse latest View live

ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

กลับมาชวนเพื่อนๆ ออกไปเรียนรู้โลกกับจักรยานอีกครั้ง

คราวนี้อ้อยหวานกับคุณผู้ชายเลือกเข้าหาภูเขากันอีกแล้ว เพราะอ้อยหวานชอบบรรยากาศสวยๆ และความท้าทายของภูเขา

จุดหมายของเราคือเทือกเขาแอลป์ในทวีปยุโรบ สี่อาทิตย์กับการปั่นจักรยาน 808.5 กิโลเมตร อาจจะไม่ยาวนานนักที่จะไปใช้ชีวิตท่องเที่ยว และเรียนรู้โลกส่วนนั้นอย่างลึกซึ้ง แต่การปั่นจักรยานเที่ยวทำให้เวลาเดินช้าลง เปิดโอกาสให้เราได้สัมผัสบรรยากาศรอบตัวจนล้นความรู้สึก ล้นความทรงจำ และเต็มเปี่ยมประสาทสัมผัส แล้วอ้อยหวานก็ได้เรียนรู้ว่า ดินแดนแห่งนี้ช่างสมบูรณ์พูนสุขยิ่งนัก สวยสดงดงามทั้งธรรมชาติ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม และสถาปัตยกรรม ชนิดเข้าขั้นเลอเลิศ

 

บางครั้งอ้อยหวานยังคิดว่าการปั่นจักรยานอาจจะเร็วไปเสียด้วยซ้ำ เร็วไปกว่าการเดินเที่ยว ซึ่งในทวีปยุโรบนั้นการเดินเที่ยวเป็นที่นิยมพอๆ กับการปั่นจักรยานเที่ยว และส่วนใหญ่ก็ใช้เส้นทางเดียวกัน ทำให้เจอคนแบกเป้เดินอยู่ระหว่างทางออกบ่อยๆ แต่ไม่เป็นไร คราวนี้เรามีการเข็นเที่ยวกันเกือบทุกวัน เพราะเส้นทางแถบนี้ไม่ค่อยจะราบเรียบนัก มีขึ้นสูงๆ และลงดิ่งยังกับรถไฟเหาะในสวนสนุก ซึ่งบางครั้งเข็นขึ้นแล้วอ้อยหวานยังต้องเข็นลงอีกด้วย เพราะเส้นทางบางสายเป็นธรรมชาติมากๆ ขรุขระยังกะผิวพระจันทร์ ได้อารมณ์ป่าเขาลำเนาไพรจริงๆ

 

เทือกเขาแอลป์เป็นเทือกเขาที่สูงและครอบคลุมเนื้อที่มากที่สุดในทวีปยุโรป โดยครอบคลุมเนื้อที่ตั้งแต่ออสเตรีย อิตาลี และสโลวีเนียทางด้านตะวันออก ไปจนถึงสวิตเซอร์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ เยอรมนี และฝรั่งเศสทางด้านตะวันตก

 

เริ่มต้นที่มิวนิค

ทริปนี้เราเริ่มต้นกันที่เมืองมิวนิค เมืองหลวงของรัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมัน  เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสามในเยอรมนี และเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 12 ในยุโรป มิวนิคเป็นเมืองศูนย์กลางของศิลปะ สถาปัตยกรรม เทคโนโลยี วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวของประเทศเยอรมนี

 

เมืองมิวนิคเป็นเมืองสีเขียว มีต้นไม้มากมาย จนเกือบเป็นป่าในเมืองหรือเมืองในป่า และเป็นเมืองจักรยานที่มีเส้นทางจักรยานไปทั่วทุกหนแห่งของเมือง อ้อยหวานไม่เคยเห็นเมืองใหญ่ๆ ที่มีจักรยานวิ่งกันพลุพล่านเท่านี้มาก่อน จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ามิวนิคจะเข้ากลุ่มเมืองสุดที่รักของอ้อยหวานได้อย่างง่ายดาย

 

เราเที่ยวชมเมืองกับจักรยานโดยไม่ง้อรถยนต์ รถไฟ หรือรถเมล์ ไปไหนตามใจฉัน อยากจอด อยากหยุดดมดอกไม้ตรงไหนก็ทำได้ตามใจปรารถนา เรียกได้ว่าเป็นฟรีดอมทัวร์จริงๆ

อย่ารอช้า คว้าจักรยานคันเก่ง แล้วปั่นตามอ้อยหวานมาเลยค่ะ เราไปชมเมืองสีเขียว เมืองมิวนิคกัน

 

แห่งแรกที่เราไปชม พระราชวังนึมเฟนบูร์ก (Nymphenburg Palace) ขนาดเราไปกันแต่เช้าก็ยังมีรถบรรทุกนักท่องเที่ยวมากันก่อนแล้ว ได้ยินเสียงพูดภาษาไทยกันระหมทั่ววัง

พระราชวังนึมเฟนบูร์กเป็นพระราชวังฤดูร้อนของพระราชวงศ์ผู้ปกครองรัฐบาวาเรีย สร้างโดย เฟอร์ดินานด์ มาเรีย เจ้านครรัฐแห่งบาวาเรีย และเจ้าหญิงเฮนเรียตตา อเดลเลดแห่งซาวอย โดยการออกแบบของสถาปนิกชาวอิตาลี เริ่มสร้างในปี 1664 และเสร็จรุร่วงในปี 1675

ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย

 

สวนสวยๆ ของพระราชวังนึมเฟนบูร์ก จัดสวนตามสไตล์ฝรั่งเศส ตกแต่งด้วยรูปแกะสลักหินของเทพเจ้ากรีก และแจกันหินอ่อนขนาดใหญ่

 

รูปแกะสลักหินเทพเจ้าพลูโต เทพเจ้าผู้ครองโลกบาดาล เทพแห่งทรัพย์ และเทพแห่งยมโลกและความตาย

 

สวนอังกฤษแห่งเมืองมิวนิค เป็นสวนกลางเมืองที่มีเนื้อที่กว้างมาก ในรูปคือหอคอยจีนที่ดูไม่ค่อยจะเป็นจีน เพราะออกแบบและสร้างโดยคนเยอรมัน โดยเลียนแบบจากเจดีย์เซรามิกที่ตกแต่งในสวนของจักรพรรดิ์จีน

 

มีการเล่นเซิร์ฟเฟอร์สในสายน้ำกลางสวน นับว่าเป็นสวนสาธารณะที่ใช้ประโยชน์คุ้มค่าจริงๆ มีเส้นทางสำหรับเดิน วิ่ง และปั่นจักรยาน พาดผ่านไปทั่วสวน มีสายน้ำให้ตกปลา พายเรือ และเล่นเซิร์ฟเฟอร์ส และอ้อยหวานได้ยินมาว่าในฤดูร้อนยังเป็นสถานที่อาบแดดยอดนิยมอีกด้วย คนเยอรมันเขาไม่แอบแดดธรรมดาๆ แบบคนชาติอื่นเสียด้วยสิ เขานิยมแก้ผ้าอาบแดดกัน คือจะได้สุกได้ที่ไปทั่วทั้งตัว

 

ที่นี้มาดูตึกราม บ้านเรือนกันบ้าง คนที่ชอบดูอาคารสวยๆ แล้วละก็ นี่แหละใช่เลย มิวนิคแพ็คเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมงามๆ

 

พระราชวังเรสซิเดนซ์ (Residentz) ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์เรสซิเดนซ์ ได้ข่าวว่าข้างในมีของสวยงามล้ำค่าให้ชม แต่เราสองคนชอบปั่นเที่ยวชมเมือง ไม่ค่อยชอบการไปเข้าชมในสถานที่ที่มีคนมากมายก่ายกอง เลยไม่ได้เสียตังส์เข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ หรือพระราชวังที่ไหนเลย

 

ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ดอกเกาหลัดเทียมมีชื่อว่า เกาหลัดม้า หรือ ฮอส เชสนัท  (Horse Chestnut) กำลังออกดอกเบ่งบาน ลูกฮอส เชสนัทนี้กินไม่ได้มีพิษ แต่ดอกสวยมากๆ อยากดูลูกต้องย้อนไปดูบล็อกเก่าของอ้อยหวาน ที่นี่

 

ย่านมหาวิทยาลัย Ludwig Maximiliansมหาวิทยาลัยหลักของเมืองมิวนิกก็มีอาคารสวยๆ ให้ชมเช่นกัน ทั่วบริเวณสะอาดสะอ้านไม่มีที่ติ สงบ และมีจักรยานวิ่งกันขวักไขว่ไปมา ที่จอดจักรยานก็เต็มแน่นไปทุกแห่ง เด็กนักเรียนที่นี่เขาปั่นจักรยานไปเรียนหนังสือกัน

 

ทีนี้เข้าไปดูเมืองเก่ากันบ้าง ซึ่งเขาก็ยังเก็บรักษาประตูเมืองโบราณเอาไว้ให้ลูกหลานดู

 

ทั้งหมดมีสี่ประตูแต่เราหาเจอแค่สาม

 

อาคารเก่าแก่ได้กลายเป็นร้านค้าร้านอาหารต้อนรับนักท่องเที่ยว อาคารตรงซ้ายมือคือโรงเบียร์ชื่อดังของมิวนิค

 

แหวกฝูงชนเข้าไปถ่ายรูปข้างในโรงเบียร์               

 

ร้านอาหารทุกร้านจะมีที่นั่งอยู่นอกร้าน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเต็มตลอด นั่งกิน นั่งดื่ม แกล้มบรรยากาศตึกรามบ้านช่องเก่าๆ

 

จบบล็อกด้วยภาพนี้ ทริปนี้อ้อยหวานได้เก็บภาพแบบนี้มามากมาย เพราะชอบประตูโค้ง ซึ่งดูโรแมนติคดีกับฉากหลังสวยๆ

 

โปรดติดตาม ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ในตอนต่อไป

 

ขอให้เพื่อนๆมีแต่ความสุข

 

ขอบคุณค่ะ

 

อ้อยหวาน

 


ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอน มุ่งหน้าสู่ภูเขา

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

ขอให้เส้นทางของเธอ คดเคี้ยว เปล่าเปลี่ยว ตื่นเต้นผจญภัย และทอดตัวไปสู่ทัศนียภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุด

ขอให้ภูเขาของเธอทอดตัวสูงขึ้น สูงขึ้น จนตระหง่านอยู่เหนือเมฆ  

ขอให้แม่น้ำของเธอไหลคดเคี้ยวไปไม่มีที่สิ้นสุด…

ไปยังสถานที่งดงามแปลกตา และเต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ มากกว่าที่เธอได้ใฝ่ฝันไว้

สถานที่แห่งนั้นรอเธออยู่ ตรงโค้งหน้า..เบื้องหลังกำแพงแห่งขุมเขา..

“May your trails be crooked, winding, lonesome, dangerous, leading to the most amazing view. May your mountains rise into and above the clouds. May your rivers flow without end… where something strange and more beautiful and more full of wonder than your deepest dreams waits for you — beyond that next turning of the canyon walls.”

-จากหนังสือ Desert Solitaire (1968) ของเอ็ดเวิร์ด แอ็บบี้ (Edward Abbey) นักเขียน นักอนุรักษ์ป่าและธรรมชาติ นักผจญภัย

 

วันนี้มาพาเพื่อนๆ ออกไปผจญภัยเล็กๆ น้อยๆ บนจักรยาน อาจจะไม่ตื่นเต้นเร้าใจเท่าในหนังบางเรื่อง แต่ความงดงามนั้นเทียบเคียงได้ ทุกโค้ง ทุกมุม มีแต่สวยกับสวย และบางแห่งถ้าไม่ไปกับจักรยานหรือเดินเท้า ก็ไม่มีโอกาสได้เห็นหรือสัมผัส

 

เทือกเขาแอลป์เป็นเทือกเขาที่สูงและครอบคลุมเนื้อที่มากที่สุดในทวีปยุโรป พาดขวางทวีปยุโรปมียาวถึง 1200 กิโลเมตร เป็นเทือกเขาที่ก่อตัวขึ้นเมื่อหลายสิบล้านปีก่อน เกิดจากแผ่นเปลือกโลกแอฟริกันและแผ่นเปลือกโลกยูเรเชียน พุ่งเข้าชนกันอย่างรุนแรง ส่งผลให้หินตะกอนใต้ทะเลพับตัวซ้อนกันเป็นเทือกเขาสูง และมียอดเขาที่สูงกว่า 4000 เมตรถึงหนึ่งร้อยยอด จนได้ชื่อว่า แก๊งค์สี่พัน (The four-thousanders) และแก๊งค์สี่พันนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และอิตาลี

ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย

 

ทริปนี้เราสองคนเลือกปั่นจักรยานเที่ยวในแถบเทือกเขาแอลป์ที่มีอาณาเขตติดต่อกันของสามประเทศ คือ เยอรมัน ออสเตรีย และอิตาลี แม้พื้นที่ที่เราเลือกไปปั่นเที่ยวจะไม่ใช่พื้นที่ของแก๊งค์สี่พัน แต่ยอดเขาแถบนี้ก็ไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน

 

ในยุโรบโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเยอรมันและออสเตรีย การปั่นจักรยานเที่ยวเป็นที่นิยมมาก เขามีเส้นทางจักรยานเป็นร้อยๆ ให้เลือกปั่น แต่ละเส้นทางจะมีชื่อเสียงเรียงนามเป็นของตัวเอง มีตั้งแต่วิ่งเป็นวงกลมคือเริ่มต้นและสิ้นสุดที่เมืองเดียวกัน หรือเป็นเส้นทางต่อเนื่องพาดผ่านหลายประเทศ หรือพาดผ่านไปทั่วทวีปยุโรบ และสามารถหาดาวน์โหลดแผนที่และการนำทางด้วย GPS ได้ฟรีจากอินเตอร์เน็ท

 

เมืองมิวนิคที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรานั้น ตั้งอยู่ตรงเชิงเขาทางเหนือของเทือกเขาแอลป์ ออกจากมิวนิคเราก็มุ่งหน้าลงใต้เลียบแม่น้ำไอซาร์ (Isar) ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ก่อตัวจากภูเขาบนเทือกเขาแอลป์ แล้วไหลผ่านเมืองมิวนิคไปลงสู่แม่น้ำดานูบที่อยู่ทางเหนือ จึงไม่น่าแปลกใจที่เส้นทางของวันนี้จะมีชื่อว่า ไอซาร์-เรดเว็ค (Isar-Radweg) คำว่า Radweg ในภาษาเยอรมันหมายถึง เส้นทางจักรยาน

 

ปั่นเลียบแม่น้ำไปถึงอีกเมืองหนึ่ง เราก็พบกับการล่องแพชมแม่น้ำไอซาร์ (Isar ) ที่เป็นการล่องแพแบบโบราณของรัฐบาวาเรีย ซึ่งจะล่องจากเมืองที่อยู่ถัดไปทางใต้ของเมืองมิวนิค และไปสิ้นสุดที่ชานเมืองมิวนิค มีกันหลายสิบแพ และแต่ละแพก็แน่นขนัด

 

เส้นทางจักรยานผ่านป่าสนมากมาย แม้จะไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ และสภาพเส้นทางในป่าก็ขรุขระอย่างแรง แต่กลิ่นต้นสนและดอกไม้ริมทางที่หอมกรุ่นไปทั่วป่า ภาพงามๆ ที่ธรรมชาติสรรสร้าง และนกป่ามากมายที่พากันส่งเสียงร้องเพลงก้องป่า ราวกับมีไมโครโฟนอยู่ในมือ ทุกสิ่งรอบตัวเป็นเหมือนเครื่องเร้าใจให้เราปั่นไปต่อ ยิ่งปั่นลึกเข้าไปในเทือกเขา ความงามรอบตัวก็ยิ่งทวีคูณ

 

เราพักค้างคืนกันที่เมืองในหุบเขา เมือง Bad Tölz คำว่า Bad ในภาษาเยอรมันนั้นไม่ได้แปลว่า เน่า เสีย เลว ร้าย เหมือนภาษาอังกฤษ แต่กลับแปลว่า Bath คือ ที่อาบน้ำ มีหลายเมืองที่มีคำว่า Bad นำหน้า ซึ่งหมายความว่าเมืองนั้นเป็นเมืองสปา หรือเมืองที่มีสถานที่บำบัดและฟื้นฟูร่างกายโดยการใช้น้ำแร่

 

หลังจากปั่นขึ้นเขาไปยังที่พักของเราแล้ว เราต้องเดินลงเขาข้ามแม่น้ำ แล้วเดินขึ้นเนินเขาฝั่งตรงข้ามมายังจัสตุรัสใจกลางเมือง เดินชมเมือง และทานข้าวเย็นกันแล้ว ก็ต้องเดินลงเขา ข้ามสะพาน แล้วขึ้นเขากลับไปที่โรงแรมอีกครั้ง เหน็ดเหนื่อยสาหัส... แต่วิวสวยมากมาย

 

โบสถ์ตั้งอยู่บนยอดเขาเหนือเมือง เราได้แต่แหนคอชื่นชมจากข้างล่าง ใจของอ้อยหวานอยากจะขึ้นไปชมยิ่งนัก แต่สองเท้ามันฟ้องร้องว่า ถ้าเธอขึ้นไปก็ต้องให้มือช่วย คือคลานสี่เท้าขึ้นไป

 

วันต่อมาเราปั่นเลียบแม่น้ำไอซาร์ (Isar ) ออกไปไม่นาน ก็ต้องโบกมืออำลาไอซาร์ตรงเหนือเขื่อน จากทะเลสาบหลังเขื่อนเส้นทางของเราเริ่มขึ้นสูงริบๆ งานนี้ต้องเข็นกันตั้ง 3-4 กิโล ภูเขาลูกซ้ายมือในภาพนั่นแหละ

 

วิวก่อนที่จะต้องลงเข็น

 

ฟาร์มกลางหุบเขา โดดเดี่ยว เดียวดาย และเงียบสงบ

 

เส้นทางขรุขระที่สูงและชันมากๆ

 

แวะเติมน้ำกลางป่า น้ำธรรมชาติบนภูเขานี้รสชาติดีจริงๆ ทริปนี้เราไม่ต้องซื้อน้ำดื่มเลย มีน้ำพุแบบนี้ให้เติมเกือบตลอดทาง

 

แล้วเราก็ข้ามพรมแดนมายังประเทศออสเตรีย ในขณะเดียวกันฝนก็เทลงมาราวกับนัดหมายกันไว้ เมฆฝนจับเป็นสายบางๆ พาดผ่านตามไหล่เขา เป็นภาพที่สวยไปอีกแบบหนึ่ง

 

ไม่นานเราก็มาถึงทะเลสาป Achensee อ้อยหวานไม่เขียนเป็นภาษาไทย เพราะไม่ทราบว่าออกเสียงอย่างไร

 

เส้นทางจักรยานเลียบทะเลสาป Achensee นั้นสวยยิ่งนัก

 

นีคือเหตุผลว่า ทำไมการปั่นจักรยานเที่ยวถึงได้ครองใจอ้อยหวาน ธรรมชาติที่สวยสดงดงาม บรรยากาศที่เงียบสงบ ใช้เวลาเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ เปิดโอกาสให้ได้สัมผัสและซึมซับสภาวะที่น่าอภิรมย์

 

เจอแล้ว!! วัวของเทือกเขาแอลป์ ที่ริมฝั่งทะเลสาป Achensee วัวทุกตัวในแถบนี้จะมีระฆังห้อยคอ เวลาเดินจะมีเสียงดังก๊องแก๊งๆ น่าฟัง อ้อยหวานมีปัญหาเรื่องการได้ยิน แต่ก็ยังได้ยินเสียงระฆังของวัว ทำให้น้ำตาซึมเลย เพราะจัง เคยเห็นในทีวีตั้งแต่เด็กๆ วันนี้มาเจอดาราตัวจริง เป็นปลื้มเลยทีเดียว แต่ไม่ถึงกับขอลายเซ็นนะ

เลยทะเลสาบไปหน่อย เส้นทางของเราก็ตรงดิ่งลงหุบเขาข้างล่าง อย่างรถไฟเหาะของดิสนีย์แลนด์ (แต่ไม่มีตีลังกานะ!) 6 กิโลเมตร ที่มีแต่ลง ลง ลง กว่าจะไปถึงโรงแรม มือทั้งสองข้างของอ้อยหวานแทบค้างอยู่กับเบรคจักรยาน เส้นทางลงหุบเขานี้ก็สวยมาก แต่ไม่มีรูปมาให้ชม เพราะทางลงดิ่งตลอด หยุดไม่ได้เลย

โปรดติดตาม ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ในตอนต่อไป

อ่าน ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอนที่แล้วได้ที่นี่

ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

ขอบคุณค่ะ

อ้อยหวาน

 

ขอให้เส้นทางของเธอ คดเคี้ยว เปล่าเปลี่ยว ตื่นเต้นผจญภัย และทอดตัวไปสู่ทัศนียภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุด

ขอให้ภูเขาของเธอทอดตัวสูงขึ้น สูงขึ้น จนตระหง่านอยู่เหนือเมฆ  

ขอให้แม่น้ำของเธอไหลคดเคี้ยวไปไม่มีที่สิ้นสุด…

ไปยังสถานที่งดงามแปลกตา และเต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ มากกว่าที่เธอได้ใฝ่ฝันไว้

สถานที่แห่งนั้นรอเธออยู่ ตรงโค้งหน้า..เบื้องหลังกำแพงแห่งขุมเขา..

 

ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอน วันฟ้าฉ่ำฝน

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

การคืบคลานเข้าไปชมเทือกเขาแอลป์กับจักรยานนั้น เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก เพราะขึ้นชื่อว่าภูเขา ก็ไม่ใช่ที่ราบ ที่มีพื้นที่ราบเลียบเป็นแผ่นกระดาษ และถ้าขึ้นชื่อว่าเทือกเขาก็ยิ่งแล้วกันไปใหญ่

อย่างในภาษาอังกฤษเขาจะเติม ‘s’ ไปข้างหลังคำว่าภูเขา แปลว่า มากมาย ก่ายกอง

แต่หากใจสู้ก็ไม่ยากที่จะทำ จากบล็อกก่อนเส้นทางจักรยานของเราซอกแซก ขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในเหลือบเขา จุดที่สูงที่สุดย้งไม่เกิน 1000 เมตร แต่เมื่อเราข้ามมาถึงหุบเขาแม่น้ำอินน์ (Inn River) ในประเทศออสเตรีย เจ้าเทือกเขาตรงหน้าที่ขวางทางเราอยู่นั้นสูงไม่ใช่ย่อย ถึงใจจะสู้ยังไง เจ้าสองขาของอ้อยหวานก็ยังยืนยันว่า ไม่สู้ด้วยหรอก! ขอปั่นไปเพียงแค่สถานีรถไฟ แล้วให้รถไฟพาข้ามเขาไปดีกว่า

 

เช้าวันต่อมาจักรยานสองคันก็ได้นั่งรถไฟอย่างสบายอารมณ์ รถไฟของที่นี่ส่วนใหญ่จะมีที่สำหรับจักรยาน ซึ่งสะดวกสบายมาก แต่จักรยานก็ต้องซื้อตั๋วนะ ไม่ได้ขึ้นฟรี

รถไฟใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ พาเราเข้าๆ ออกๆ ผ่านอุโมงค์ ขึ้นไปบนช่องเขา Brenner Pass ที่อยู่ในประเทศอิตาลีติดชายแดนออสเตรีย แม้นช่องเขา Brenner Pass จะเป็นช่องเขาที่สูงน้อยที่สุดในแถบนี้ ซึ่งสูงเพียง1370 เมตร (เท่านั้นเอง) แต่ถ้าต้องปั่นจักรยานข้ามไปคงจะหนักหนาสาหัสแน่นอน

 

บนช่องเขา Brenner Pass อิตาลี มีเส้นทางจักรยานที่ชื่อว่า เบร็นเนอร์-โบลซาโน (Brenner-Bolzano Cycle Route) จัดว่าเป็นเส้นทางจักรยานที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลี และเป็นทางลาดยางอย่างดีด้วย ช่วงแรกๆ จากสถานีรถไฟ เส้นทางยังราบเรียบ และขนานไปกับถนนไฮเวย์และทางรถไฟใหม่

 

ส่วนทางรถไฟเก่า ก็กลายเป็นทางจักรยานไป มีเพื่อนร่วมอุดมการณ์อยู่หลายคัน ออกจากรถไฟคันเดียวกัน และปั่นออกจากสถานีมาพร้อมๆ กัน แต่หลังจากนี้เพื่อนร่วมอุดมการณ์เหล่านั้น ก็ทิ้งเราไปไกลลิบลิ่ว เพราะอ้อยหวานมัวแต่อ้อยอิ่งหยุดเก็บภาพดอกไม้ และวิวงามๆ ไปตลอดทาง

 

ดูดิ..เป็นเส้นทางที่สวยและมีดอกไม้ริมทางอยู่มากมาย มากที่สุดในทริปนี้ก็ว่าได้ คนอิตาลีค่อนข้างเคร่งศาสนา ศาลเล็กๆ ที่มีไม้กางเขน หรือรูปพระแม่มารีอา มีให้เห็นตลอดทาง

 

แม้นวันนี้ฝนจะตกปรอยๆ เกือบทั้งวัน กล้องของอ้อยหวานก็ยังต้องทำงานหนักและเกือบจะไม่สบาย คืนนั้นเกิดอาการไม่สู้ดี ทำให้เจ้าของใจแป้วลงไปถนัด แต่พอได้พักสักนิด วันต่อมาก็ทำงานดีเหมือนเดิม ไม่ต้องกินยาหรือหาหมอเลย อึดจริงๆ ภาพดอกไม้จะมีบล็อกเฉพาะในตอนหลังนะค่ะ สมุนดอกไม้โปรดอดใจรอ

 

เส้นทางจักรยานเบร็นเนอร์-โบลซาโน (Brenner-Bolzano Cycle Route) นี้ วิ่งผ่านหมู่บ้านและเมืองในหุบเขาหลายแห่ง แต่ละแห่งก็สวยงามไม่แพ้กัน เราแวะทานข้าวกลางวันกันที่เมือง Vipiteno Sterzing เมืองในหุบเขา

 

อีกมุมหนึ่งของเมือง Vipiteno Sterzing เมืองเล็กๆ แต่ชื่อยาว ที่ชื่อยาวก็เพราะแถบนี้มีทั้งคนพูดภาษาเยอรมันและคนพูดภาษาอิตาลี คนพูดภาษาเยอรมันเขาเรียกเมืองนี้ว่า Sterzing ส่วนคนพูดภาษาอิตาลีกลับใช้อีกชื่อ Vipiteno ในแผนที่กูเกิ้ลก็เลยใช้ไปสองชื่อเลยจะได้ไม่ตีกัน

 

เส้นทางนี้มีปราสาทเก่าแก่อยู่หลายแห่ง และอยู่กันบนที่สูงๆ ดุจพญาอินทรีย์กันทั้งนั้น

 

เราแวะเติมน้ำกันที่นี่ น้ำพุอันนี้สร้างขึ้นในปี 1867 ขอย้ำว่าน้ำบนภูเขาแอลป์นี้ อร่อยอย่าบอกใครเลย   

หุบเขาค่อยๆ แผ่กว้างขึ้น เราปั่นผ่านฟาร์มกลางหุบเขาหลายแห่งและดูสะอาด เรียบร้อยอย่างนี้ไปทุกแห่ง มีเพียงแต่กลิ่นเท่านั้นที่ยังฟ้องอยู่ แต่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์จะให้มีกลิ่นหอมเหมือนสวนดอกไม้ ก็คงจะเป็นไปไม่ได้

 

ฟาร์มอีกแห่งหนึ่ง เขากล่าวกันว่านมวัวจากเทือกเขาแอลป์นี้มีคุณภาพยอดเยี่ยม และรสชาติดีเยี่ยม เพราะฝูงวัวเดินทานหญ้าปลอดสาร ในที่กว้างกลางหุบเขาสูง ที่มีอากาศดี (และวิวสวย) เดินกันอย่างอิสระไม่ได้อยู่ในที่กักกันแคบๆ เรียกได้ว่าเป็น ‘แฮปปี้ คาว’ ตัวจริง เขามีรั้วไฟฟ้าป้องกันวัวออกนอกทุ่งหญ้า ขึงอยู่ตลอดทาง และมีป้ายกำกับไว้ด้วย จะได้ไม่มีใครเดินเซ่อซ่าเข้าไป

ตกบ่ายท้องฟ้าก็ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำ ดูเหมือนว่ายอดเขาแต่ละยอดต่างพากันฉุดรั้งเมฆฝนเอาไว้ไม่ให้เลื่อนลอยไปแห่งใด ฝนที่ตกปรอยๆ เปลี่ยนโฉมมาเป็นพายุ ฝนห่าใหญ่สาดเทลงมา พร้อมกับสายฟ้าฟาด และลมพายุก็พัดโบกอย่างรุนแรง สองจักรยานรีบเร่งรุดไปไม่หยุดพักหลบพายุที่ใด เพราะกลัวว่าฟ้าจะมืดมิดก่อนถึงจุดหมาย วันนั้นเราไปถึงที่พักในสภาพเปียกปอนแบบที่ไม่เคยเปียกเช่นนี้มาก่อน และคืนนั้นฟ้าก็ร้องไห้อาละวาด ฟาดแข้ง ฟาดขาไปทั้งคืน ไม่มีหยุด

 

เมือง Bressanone Brixen เป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีทั้งคนพูดภาษาเยอรมันและคนพูดภาษาอิตาลีอาศัยอยู่ คนพูดภาษาเยอรมันเขาเรียกเมืองนี้ว่า Brixen ส่วนคนพูดภาษาอิตาลีเรียกว่า Bressanone และเช่นเคยแผนที่กูเกิ้ลใช้สองชื่อควบไปเลย จะได้ไม่มีใครงอน

เราออกเดินชมเมืองกันแต่เช้า เมืองทั้งเมืองปกคลุมไปด้วยหมอกเมฆ เมือง Bressanone Brixen นี้มีภูเขาติดชิดกับเมืองทั้งสองด้าน เกือบจะเรียกได้ว่าแนบสนิท มองซ้ายก็เขา มองขวาก็เขา จัดว่าเป็นเมืองที่สวยมากอีกเมืองหนึ่ง

 

น้ำพุสวยๆ ที่จัสตุรัสกลางเมือง

 

โบสถ์เก่าแก่ประจำเมือง ภายในโบสถ์อยู่ในระหว่างบูรณะซ่อมแซมเลยไม่ได้เข้าไปดู

 

ภาพวาดเก่าแก่บนเพดานระเบียงโบสถ์ มีอายุหลายร้อยปี แต่ยังแจ่มชัดงดงาม

 

เดินผ่านบ้านหลังนี้ ปลูกกุหลาบไว้สวยมาก ทำให้อ้อยหวานนึกถึงกุหลาบโปรวองซ์

 

พยากรณ์อากาศบอกไว้ว่าวันนี้จะเป็นอีกวันหนึ่งที่มีพายุฝน เดินชมเมืองยังไม่ทั่ว ฝนก็เริ่มโปรยปราย..

หลังจากที่ปั่นจักรยานตากฝนมาสองวันซ้อนๆ กัน วันนี้ขอพักจากฝนโดยการเข็นจักรยานขึ้นรถไฟอีกครั้ง ไปยังเมือง Bolzano Bozen ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 50 กิโลเมตร นี่ก็เป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีสองชื่อ ลองเดาดูนะคะ ว่าชื่อไหนเป็นของใคร

 

ไปถึงเมือง Bolzano Bozen พายุฝนก็พากันมาต้อนรับเสียห่าใหญ่ๆ เมืองทั้งเมืองถูกปกคลุมด้วยม่านเมฆสีดำ และมีดอกร่มขึ้นอยู่กระจัดกระจาย

 

ตึกสีชมพูที่เห็นอยู่ทางซ้ายมือในรูปคือที่พักของเราในคืนนี้ ตั้งอยู่ตรงจัสตุรัสกลางเมืองพอดิบพอดี พอฝนซาลง เรารีบออกมาชมเมืองพร้อมๆ กับนักท่องเที่ยวอีกมากมาย แต่ฝนหยุดพักแค่ช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากนั้นก็หลั่งไหลยังกับนางฟ้าตั้งใจบิดผ้าห่มเมฆให้แห้ง ยังไงยังงั้น แต่เรามีตึกสีชมพูให้ไปหลบฝน ขอเพียงนางฟ้าบิดผ้าห่มเมฆให้แห้งเสียในคืนนี้  พรุ่งนี้จักรยานจะได้ออกไปเริงร่าเบิกบาน...

โปรดติดตาม ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ในตอนต่อไป

 

อ่าน ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอนที่แล้วได้ที่นี่

ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์

มุ่งหน้าสู่ภูเขา

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

ขอบคุณค่ะ

อ้อยหวาน

 

ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอนขุมเขา สวนแอปเปิล และไร่องุ่น

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

จากบันทึกของอ้อยหวานเขียนไว้ว่า….

โบลซาโน (Bolzano) สู่ เทร็นโธ (Trento)  - 66 กิโลเมตร

เราออกจากโบลซาโนท่ามกลางท้องฟ้าที่มีเมฆกระจัดกระจายอยู่ทั่ว แต่ไม่มีฝน เส้นทางจักรยานในวันนี้เป็นเส้นทางที่มีชื่อเสียงมาก เชื่อมต่อระหว่างเมืองโบซาโน เมืองวีโรนา และเมืองเวนิช และเป็นเส้นทางที่เราเจอะเจอผู้คนบนจักรยานมากที่สุดในทริปนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไม ก็เส้นทางสายนี้มันซุปเปอร์สวยจริงๆ เราพบตัวเองปั่นจักรยานอยู่ระหว่างแม่น้ำ สวนแอปเปิล ไร่องุ่น และภูเขาสูงใหญ่ขนาบทั้งสองข้าง เป็นภาพที่สวยงดงามมาก

 

เช้าวันนั้นเราปั่นจักรยานออกจากโบลซาโนกันแต่เช้า เพราะต้องทำเวลาให้ถึงจุดหมายปลายทาง ก่อนพายุฝนที่พยากรณ์อากาศแจ้งเตือนไว้ว่าจะมาถึงในตอนบ่ายหรือเย็น เพื่อนร่วมอุดมการณ์หลายคนเริ่มทะยานกันออกไปแล้ว แต่คนชอปถ่ายรูปขอรีรอเก็บภาพก่อนจากลา

โบลซาโนนอกจากจะเป็นเมืองที่สวยงามแล้ว สำหรับคนที่ชอบดูของเก่า ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ที่มีมัมมี่ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกให้ไปชื่นชม

มัมมี่ผู้นั้นมีนามที่มนุษย์ในปัจจุบันตั้งให้ว่าเอิตซี มนุษย์น้ำแข็ง (Ötzi the Iceman)  เอิตซี มนุษย์น้ำแข็งนี้ (เคย) มีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 5,300 ปีมาแล้วและค้นพบโดยนักปีนเขาชาวเยอรมันสองคน ในขณะที่พวกเขาปีนอยู่ในธารน้ำแข็งชนัลสตัล บนเทือกเขาเอิตซทัลแอลป์ ที่ตั้งอยู่ตรงพรมแดนระหว่างออสเตรียและอิตาลี เอิตซีเป็นมัมมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ (ไม่ใช่ฝีมือมนุษย์) ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย

 

เส้นทางจักรยานที่ออกจากเมืองโบลซาโนนั้นเต็มไปด้วยนักปั่น มีทั้งปั่นไปทำงาน ปั่นออกกำลังกาย และปั่นเที่ยว วิ่งกันขวักไขว่ เห็นแล้วน่าชื่นใจยิ่งนัก เทือกเขาแอลป์คงส่งเสียงเชียร์และขอบคุณ ให้กับเธอ เหล่าผู้คนที่เลือกไปไหนมาไหนกับจักรยาน พาหนะเพื่อโลกสีเขียวอันยั่งยืน

 

ทางสวยๆ ที่เรียงรายไปด้วยดอกไฮเดรนเยียและดอกกุหลาบอย่างนี้ ใครเล่าจะอดใจไม่หยุดชม

 

กว่าจะหลุดออกจากเมืองโบลซาโนได้ ก็หยุดดมดอกไม้เสียหลายรอบ แล้วจะไปถึงปลายทางก่อนน้องฝนไหมเนี่ย? ผู้ร่วมทางของอ้อยหวานก็ใจเย็นมากๆ หยุดรอคนหยุดถ่ายรูปไปตลอดทาง

 

เห็นไหม อ้อยหวานไม่ได้โม้เลย ดอกไม้เยอะมากๆ จริงๆ

 

ออกจากเมืองโบลซาโนมาได้ ดอกไม้ก็หลีกทางให้สวนแอปเปิลและไร่องุ่น ส่วนบนยอดเขาก็ยังมีรังพญาอินทรีย์ ปราสาทเก่าแก่แบบนี้มีให้ชมเป็นระยะๆ และบางแห่งก็เปิดให้ชม แต่เราขอแหนคอชมเชยอยู่ข้างล่าง

 

สวนแอปเปิลสุดลูกหูลูกตา เป็นภาพที่งดงามมาก เรามาช้าไปเกือบเดือน ไม่อย่างนั้นแถบนี้จะพร่างพราวไปด้วยดอกไม้สีขาวและสีชมพู ไม่ต้องพูดถึงเรื่องกลิ่นหอม เพราะคงจะเปรียบได้ดุจสรวงสวรรค์ และเราก็มาเร็วไปสักประมาณสองเดือน ช่วงปลายฤดูร้อนและต้นฤดูใบไม้ร่วง พื้นที่แถบนี้จะแต่งแต้มด้วยสีแดงสดของลูกแอ็ปเปิล ซึ่งจะส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจเช่นกัน

 

เส้นทางจักรยานสายนี้เป็นเส้นทางยอดนิยมจริงๆ เราสวนทางกับทัวร์จักรยานแบบนี้หลายกลุ่ม แถบนี้เขามีบริการทัวร์ซึ่งเตรียมให้คุณพร้อมทุกอย่าง ตั้งแต่จักรยาน ที่พักรายทาง แล้วยังขนกระเป๋าเสื้อผ้าไปส่งที่โรงแรมปลายทางให้เรียบร้อย สะดวกสบายมาก แต่ไม่เป็นอิสระ ต้องไปกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ซึ่งไม่ใช่วิสัยของอ้อยหวานและผู้ร่วมทาง

 

สวนแอปเปิลสวนนี้คลุมตาข่ายไว้ คงจะมีไว้ป้องกันนกนักชิม เพราะแถบนี้มีนกมากจริงๆ

 

บางแห่งจะเป็นสวนแอปเปิลและไร่องุ่น ปลูกกันเป็นหย่อมๆ ดูเหมือนกับผ้าห่มควิลว์สีเขียวสวย บ้านกลางสวนดูน่าอยู่ไปเสียทุกหลัง

 

มองขึ้นไปบนเขาก็แน่นเอี๊ยดเช่นกัน เขามีโรงบ่มไวน์ให้แวะชมและชิมหลายแห่ง แต่เราไม่ได้แวะเพราะคงจะชิมไม่ได้

 

ดูกันใกล้ๆ องุ่นเขาปลูกกันแบบนี้ ส่วนแอปเปิลก็ปลูกแบบ ‘เอสพาลิเออร์’   (espalier) ดูรายละเอียดได้ในบล็อกเก่าของอ้อยหวานที่นี่

 

ขุมเขา สวนแอปเปิล และไร่องุ่น ไปตลอดสาย มันสวยมากๆ จนทำให้อ้อยหวานรู้สึกว่าปั่นจักรยานยังเร็วไปหน่อย ที่จะซึมซับภาพงามๆ เหล่านี้

 

แต่..เหมือนกับที่ใครคนหนึ่งได้ปรารภเอาไว้ว่า “ชีวิตไม่ใช่มีแต่ดอกกุหลาบ เพราะในบางครั้งเราก็ต้องเจอกับขวากหนาม”

ปั่นมาครึ่งทาง ยางล้อจักรยานของอ้อยหวานก็แบนราบเรียบ  ครั้งนี้เป็นยางแบนครั้งที่สองของเรา ครั้งแรกโดนเอาจักรยานของคุณผู้ชาย ซึ่งต้องทำการผ่าตัดกันกลางป่าที่เยอรมัน แต่คราวนี้ที่เปลี่ยนยางมันสวยมากจริงๆ

เรื่องนี้สอนไว้ว่า อย่าลืมพกพาอุปกรณ์สำหรับเปลี่ยนยาง ยางในจักรยาน และคนเปลี่ยนยางไปด้วย คนเปลี่ยนยางทำงานไป ส่วนอีกคนก็ได้โอกาสซึมซับความงามรอบตัว

 

และหลังเที่ยงวันไปหนึ่งนาที เราก็ได้ทำความรู้จักกับ ‘ลมปะทะหน้า’ ที่นักปั่นแถบนี้เขาลือกันให้แซ่ด เป็นลมที่พัดมาจากตอนใต้ของอิตาลี และจะพัดพากันมาในตอนบ่าย คือหลังเที่ยงไปหนึ่งนาทีพอดิบพอดีไม่ขาดไม่เกิน แม้ทางจักรยานในวันนี้ค่อนข้างจะราบเรียบกว่าวันอื่นๆ แต่ปั่นจักรยานสวนทางกับคุณลมปะทะหน้าที่ค่อนข้างรุนแรง ทำให้รู้สึกเหมือนปั่นขึ้นเขาเลยทีเดียว

 

ยางรั่ว ยางแบน หรือ ลมปะทะหน้า อาจจะเป็นหนามแหลมคม แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เราหยุดปั่น และหยุดชมวิว หรือหยุดดมดอกไม้

 

..และหยุดแวะกินเชอรี่ป่า

เจ้าต้นเชอรี่ป่านี้อยู่ติดกับทางจักรยานเลยทีเดียว แล้วสดสวยน่ากินเสียด้วย ใครจะอดใจไหว

 

กว่าจะถึงเมืองเทร็นโธ (Trento) ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของเราในวันนี้ ก็หลายหยุดอยู่ แต่เรามาถึงก่อนน้องฝน

 

เมืองเทร็นโธ (Trento) ท่ามกลางเมฆฝน และมีบางช่วงที่แสงอาทิตย์พยายามส่องผ่านเมฆฝน เลยได้ภาพนี้ เรานั่งกินพิซซ่าหน้าร้านใจกลางจัสตุรัสของเมือง กินไปชมวิวไป ช่างเป็นภาพที่งดงาม จนลืมไม่ลง

ขวามือคือโบสถ์เก่าแก่ของเมือง ตรงกลางเป็นน้ำพุเทพเจ้าเนปจูน (Neptune) เทพแห่งท้องทะเล ที่สร้างขึ้นในปี 1767 เลยมาเป็นวังเก่าแก่ของนักบวชบิสชอปสมัยโบราณ ปัจจุบันกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์

 

ใจกลางจัสตุรัสมีอาคารเก่าแก่สวยๆ ที่มีภาพวาดบนกำแพง

 

แจ่มชัดและงดงาม

 

เทร็นโธ (Trento) เป็นอีกเมืองหนึ่งที่สวยมากๆ มีสถาปัตยกรรมสวยๆ อยู่ทุกหนแห่งที่มองไป และเป็นเมืองจักรยานที่มีจักรยานอยู่ทุกหนแห่งเช่นกัน

 

รักเธอจัง! เทร็นโธ (Trento)

โปรดติดตาม ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ในตอนต่อไป

อ่าน ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอนที่แล้วได้ที่นี่

ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์

มุ่งหน้าสู่ภูเขา

วันฟ้าฉ่ำฝน

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

ขอบคุณค่ะ

อ้อยหวาน

 

ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอน ดุจเมืองในฝัน

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

อ้อยหวานพาชมเมืองในหุบเขามาหลายเมืองแล้ว วันนี้จะมีเมืองริมทะเลสาบมาแจมให้ชมกันอีกด้วย และขึ้นชื่อว่าอิตาลีแล้ว เมืองแต่ละเมืองของเขานั้นจะไม่ธรรมดาเลย แต่จะสวยดุจเมืองในฝันเลยทีเดียว เป็นความงามที่ตรึงใจและความทรงจำแก่ผู้ที่ได้มาเยือน แม้จากมาแล้วก็ยังถวิลหา

 

จากเมือง เทร็นโธ เช้าวันรุ่งขึ้นเราพับจักรยานทั้งสองคันใส่ใต้ท้องรถเมล์ ที่มุ่งหน้าขึ้นเขา แล้วไปเริ่มปั่นจักรยานกันที่หมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ในหุบเขาอีกด้านหนึ่ง รถเมล์ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมง ถ้าปั่นจักรยานข้ามเขากันเอง ก็คงจะต้องปั่นกันซี่โครงบาน และใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือทั้งวัน เพราะทางขึ้นเขาวกวนยังกับผ้าพับ เส้นทางเมื่อวันวานอ้อยหวานร้องว้าว! ว่ามันซุปเปอร์สวยแล้วนะ เส้นทางวันนี้ยังเหนือกว่าซุปเปอร์สวยเสียอีก สองขาปั่นจักรยานไป ส่วนในใจนั้นร้องว้าว! ว้าว! ไปตลอดทาง

 

หุบเขาเล็กๆ แคบๆ แห่งนี้ช่างงดงามยิ่งนัก หมู่บ้านแรกที่เราปั่นผ่านในวันนี้ เงียบสงบ และสะอาดสะอ้าน มีดอกกุหลาบริมรั้วเป็นพนักงานต้อนรับ กุหลาบกอนี้หอมฟุ้งไปไกลเลยทีเดียว เสียงจักรยานเบรคดังเอี้ยด.. จะไม่หยุดหอมพนักงานต้อนรับได้อย่างไร

 

หลังจากนั้นก็มีน้องกุหลาบมายืนรออยู่ริมทางอีกมากมาย ในหุบเขาแห่งนี้เขานิยมปลูกกุหลาบกัน

 

เส้นทางจักรยานซอกแซก คดเคี้ยว ขึ้นๆ ลงๆ ผ่านสวนแอปเปิลและไร่องุ่น ผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ในหุบเขา บางช่วงแคบมากๆ ให้ความรู้สึกถึงอ้อมกอดอันอบอุ่นของภูเขาสูงใหญ่

 

ไร่องุ่นแต่ละแห่งได้รับการดูแลเป็นอย่างดี

 

ส่วนสวนแอปเปิ้ลนั้นก็เป็นระเบียบไม่แพ้กัน

 

ทางจักรยานวิ่งผ่ากลางหมู่บ้านหรือเมืองหลายแห่ง ที่ยังเก็บรักษาความงามเก่าแก่เอาไว้ ชมเมืองเก่าบนจักรยานนั้น ช่างเข้ากันดีจริงๆ ไร้เสียง ไร้มลพิษ ไร้ร่องรอย ผ่านมาแล้ว ผ่านไป เก็บแต่ภาพ และความทรงจำ

 

บ้านบางหลัง บ่งบอกความใส่ใจของเจ้าของ

 

แต่งเติมสีสันให้กับบ้านสีสวย

 

อีกเมืองหนึ่งที่คราคร่ำไปด้วยจักรยาน ถ้าไม่เดินชม การปั่นจักรยานก็เป็นทางเลือกที่ดีเยี่ยมอีกทางหนึ่งในการชมเมือง

 

เมืองแต่ละเมืองนั้นเล็กจริงๆ ปั่นไม่นาน สองข้างทางก็กลายสภาพมาเป็นสวน ทำให้เป็นเส้นทางจักรยานที่น่าเพลิดเพลินเป็นอย่างมาก เพลินขา เพลินตา เพลินใจ และสบายหู เพราะไม่มีเสียงเครื่องยนต์ใดๆ นอกจากเสียงนกร้องเพลง

 

ระยะทาง 35 กิโลเมตร เราก็มาถึงจุดหมายปลายทางสำหรับวันนี้ ‘ทะเลสาบการ์ดา (Garda)’ ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของอิตาลี เป็นทะเลสาบที่เกิดจากการกัดกร่อนของธารน้ำแข็งในยุคน้ำแข็ง เมื่อ 5-6 ล้านปีก่อน ทะเลสาบการ์ดานี้มีรูปร่างคล้ายแจกันที่มีคอแคบยาว ขนาบข้างด้วยเทือกเขาสูง ส่วนปลายทะเลสาบผายออกจากเทือกเขาแอลป์ เป็นก้นแจกันที่สวยงดงาม

 

เราแวะค้างคืนกันที่เมืองริวา เดล การ์ดา (Riva del Garda) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่เหนือสุดของทะเลสาบ (ปากแจกัน)

 

จัสตุรัสกลางเมือง ในภาษาอิตาลีเรียกว่า เพียซ์ซ่า (piazza) ที่ทุกเมืองจะต้องมีกัน เมืองริวา เดล การ์ดา ตั้งอยู่ริมน้ำ เพียซ์ซ่าของเมืองก็ต้องอยู่ริมน้ำ แถบนี้มีโรงแรมเก่าแก่ ร้านค้า ร้านอาหารริมน้ำน่านั่ง ไว้ต้อนรับแขกผู้มาเยือน ตึกรามบ้านช่องต่างๆ ทาสีสวยใสน่าดูมาก เป็นตัวอย่างที่ดี ที่ชี้ให้เห็นว่า ความเก่าแก่ไม่จำเป็นต้องผุพัง คร่ำครึ เป็นความเก่าที่มีความสดใสเข้ากันได้อย่างลงตัว

 

เช้าของอีกวัน สองจักรยานก็ได้เลื่อนล้อลงเรือโดยสารลำใหญ่ เป็นเรือที่ล่องรับส่งนักท่องเที่ยวตามเมืองต่างๆ ริมทะเลสาบการ์ดา ระยะทางจากเหนือสุดไปใต้สุดของทะเลสาบ 50 กิโลเมตรนั้น ใช้เวลาล่องเรือถึงสามชั่วโมงครึ่ง ถ้าปั่นจักรยานก็คงใช้เวลาเท่าเทียมกัน แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีทางจักรยานเลียบทะเลสาบ ส่วนถนนเลียบทะเลสาบนั้นค่อนข้างอันตรายสำหรับจักรยาน เพราะมีรถเยอะ และวิ่งผ่านอุโมงค์อยู่สองสามแห่ง ชมเมืองบนเรือให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากบนจักรยาน ข้อดีก็คือ เป็นการเปิดโอกาสให้อ้อยหวานได้เก็บภาพโปสการ์ดหรือภาพวิวของเมืองในฝันเหล่านี้

 

ทะเลสาบการ์ดาเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับมาพักผ่อนหย่อนใจของชาวอิตาลี มาตั้งแต่โบราณกาล เมืองแต่ละเมืองจะเป็นเมืองรีสอร์ทเล็กๆ แต่มีคฤหาสน์ หรือปราสาทใหญ่โต และที่ขาดไม่ได้คือโบสถ์ ประจำเมือง

 

ส่วนเมืองนี้มีป้อมปราการมาช่วยเสริมความเด่น พร้อมกับเมฆและละอองฝนที่กำลังเคลื่อนคล้อยเข้ามาปกคลุมทะเลสาบ ทำให้ดูสวยดุจเมืองในฝันยิ่งขึ้น

 

นี่ไม่ใช่คฤหาสน์ หรือปราสาททั่วๆ ไป แต่เป็น ปราสาทมะนาว (La Limonaia del Castèl) หรือสวนมะนาวเก่าแก่ที่มีอยู่มากมายริมทะเลสาบการ์ดา เป็นสวนมะนาวที่เริ่มทำมาเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว เสาที่เห็นนั้นออกแบบมาให้เป็นคานสำหรับค้ำหลังคาคลุมมะนาวในหน้าหนาว เพราะแถบนี้มีหิมะตกในฤดูหนาว จัดได้ว่าเป็นสวนมะนาวที่อยู่ในพื้นที่ทางเหนือสุดของโลก

เสียดายจัง! ถ้าปั่นจักรยานก็คงจะได้แวะชม

 

มองจากบนเรือ ทำให้ผู้คนดูเล็ก ยังกับตุ๊กตา

 

เมืองนี้มีครบสูตร เพียซ์ซ่าหรือจัสตุรัสกลางเมือง โบสถ์ คฤหาสน์หลังโต และมีปราสาทมะนาวอยู่มากมาย จึงได้ชี่อเมืองว่า limone sul garda เมืองมะนาวแห่งทะเลสาบการ์ดา

 

ร้านขายน้ำมะนาวคั้นสดๆ ที่เมือง Sirmione เมืองใต้สุดของทะเลสาบการ์ดา สังสัยจะมีคนมาจับมะนาวกันบ่อยๆ เจ้าของเลยต้องแขวนป้ายห้ามจับเอาไว้

 

หลังจากที่ต้องนั่งอยู่บนเรือกับผู้คนมากมายมาถึงสามชั่วโมงครึ่ง ใจของเราก็โลดเล่นอยากเป็นอิสระ หลุดออกจากเรือได้ก็เริ่มปั่นกัน เลยไม่ได้แวะชมเมือง Sirmione เมืองที่เรืองชื่อที่สุดของแถบนี้ อ้อยหวานเพียงแค่แวะเก็บรูปปราสาทของเมือง แล้วเร่งรีบปั่นจักรยานมุ่งหน้าสู่เมืองวีโรน่า เมืองจุดหมายปลายทางของวันนี้ ไปถึงที่พักทันเวลาพายุหนัก ทีซัดกระหน่ำมาอย่างไม่เกรงใจใคร สภาพอากาศที่มีฝนและพายุเกือบทุกวันนี้ ส่งผลให้หลายพื้นที่ในประเทศเยอรมันและฝรั่งเศส ที่อยู่รอบๆ เทือกเขาแอลป์ ประสบกับปัญหาน้ำท่วม และบางแห่งมีน้ำป่าไหลท่วมฉบับพลันเกิดความเสียหายมากมาย ส่วนทางฝั่งอิตาลีนั้น รอดมาได้ คงจะเป็นเพราะอยู่ไม่ไกลจากทะเล

โปรดติดตาม ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ในตอนต่อไป

อ่าน ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอนที่แล้วได้ที่นี่

ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์

มุ่งหน้าสู่ภูเขา

วันฟ้าฉ่ำฝนน

ขุมเขา สวนแอปเปิล และไร่องุ่น

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

ขอบคุณค่ะ

อ้อยหวาน

ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอน ตามหาโรมิโอและจูเลียต ที่..เวโรน่า

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

นับย้อนหลังไปหลายปี อ้อยหวานไปพบเจอกับภาพพาโนรามาของเมืองๆ หนึ่งซึ่งโดนใจเอามากๆ เป็นภาพของเมืองเก่าในบันทึกของนักปั่นคนหนึ่ง เมืองเก่าที่ดูยังกับต้องนั่งไทม์แมชชีนย้อนหลังไปสักหลายๆ ร้อยปีในอดีต แต่ภาพของเขาสดใสชัดเจน และเขาได้เขียนเล่าเรื่องไว้ว่า นี่คือรางวัลที่เขาได้รับจากการปั่นขึ้นเขาเหนือเมืองเวโรน่า ภาพรางวัลนั้นทำให้อ้อยหวานฝันเฟื่องมาถึงสามปี หากมีโอกาส...สักวันหนึ่งคงจะได้ตามรอยไปเก็บภาพสวยนั้นบ้าง

แล้ววันหนึ่งในเดือนมิถุนายนของปีนี้ อ้อยหวานก็ได้ไปยืนต้องมนต์เสน่ห์เหนือเมืองเวโรน่า ตรงจุดเดียวกับที่นักปั่นคนนั้นรับรางวัลภาพสวย แม้ว่าอ้อยหวานและคุณผู้ชายจะไม่ได้ปั่นขึ้นเขา เราจอดจักรยานไว้ข้างล่าง แล้วปีนบันไดชันๆ หลายร้อยขั้นขึ้นไปแทน เหนื่อยพอกัน และภาพรางวัลที่ได้ก็สวยงดงามอย่างที่วาดหวังไว้ ไม่ต้องนั่งไทม์แมชชีนย้อนอดีต เพียงแค่ปั่นหรือเดินขึ้นเขา ภาพเมืองเก่าที่งดงามก็จะปรากฏลงตรงหน้า

 

อ้อยหวานหลับตาลง แล้วค่อยๆ เผยอเปลือกตาขึ้น โดยคิดเอาเล่นๆ ว่า อาจจะทำให้ภาพตรงหน้าเปลี่ยนไป  

...แล้วใช่จริงๆ ตรงลานโบสถ์นั่น..เห็นไหม สองหนุ่มสาวในชุดโบราณกำลังเดินเกี่ยวก้อยพรอดรักกัน
โอ้.. โรมิโอและจูเลียต นั้นเอง!

 

กล่าวถึงสกุลสอง กิติศักดิ์เสมอกัน

อยู่รวม ณ ถิ่นบรรพะบุเรศเวโรนา

จากโทษะเก่าแก่ทุษะใหม่ก็เกิดมา

จนญาติวงศาคณะมิตระผิดใจ

บทพระราชนิพนธ์แปล โรมิโอและจูเลียต ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

โรมิโอและจูเลียต เป็นละครโศกนาฏกรรมที่มีชื่อเสียงโด่งดังของ วิลเลียม เชกสเปียร์ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ของอังกฤษ เขาได้แต่งเรื่องนี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1595 สี่ร้อยกว่าปีมาแล้ว แต่ยังมีการสร้างหนังและละครมากันจนถึงปัจจุบัน

ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย

อ้อยหวานขอเล่าเรื่องที่ย่อที่สุดคือ เรื่องนี้เกิดขึ้น ณ เมืองเวโรนา สองหนุ่มสาวของ 2 ตระกูลใหญ่ที่ไม่ถูกชะตากันมาช้านาน ได้มาพบรักกัน และแน่นอนก็โดนกีดกันจากญาติโกโหติกาของทั้งสองตระกูล และเรื่องจบลงอย่างสุดเศร้า เมื่อสองตระกูลต่างก็ได้ไปแต่ร่างไร้วิญญานของทั้งสอง

 

เราใช้เวลาอยู่บนนี้เนิ่นนาน เก็บเกี่ยวบรรยากาศ และภาพสวยตรงหน้า เอาผลไม้ที่ได้จากอาหารเช้าของโรงแรมมานั่งกินแกล้มวิว ไม่รีบร้อนไปไหน เพราะเรารู้ว่าสถานที่ต่างๆ ข้างล่าง จะต้องมีคนมากมายมหาสาร บนนี้มีคนน้อย เพราะขึ้นลำบาก นักท่องเที่ยวที่มากับรถทัวร์หรือรถโดยสารคันใหญ่ ต่างพากันไปกองที่เนินเขาอีกลูกที่มีถนนสำหรับรถคันโตๆ วิวบนนี้จะสวยงามอีกเท่าตัวในช่วงอาทิตย์ตกดินและตอนกลางคืน แต่ในฤดูร้อนพระอาทิตย์จะไม่จากลาจนกว่าจะหลังสี่ทุ่ม เราสองคนปั่นจักรยานกันทั้งวันและทุกวัน ก็เลยกลายเป็นเด็กดีหลับสนิทหมดน้ำข้าวต้มกันตั้งแต่สองทุ่ม

 

ยามราตรีที่เวโรนา

ขอยืมรูปมาจาก http://wallpapers-hd-wide.com

 

วิธีชมวิวเมืองเวโรนาอีกแบบหนึ่ง

ช่วงนี้น้ำในแม่น้ำไหลเชี่ยวมาก เพราะส่งตรงมาจากเทือกเขาแอลป์ที่มีฝนตกเกือบทุกวัน

 

เมืองมรดกโลก ‘เวโรน่า’ เมืองเก่าแก่ที่สามารถนับย้อนหลังไปหลายพันปี ตั้งแต่ก่อนที่จะเป็นอาณานิคมหนึ่งของอาณาจักรโรมัน ต่อมาเมื่อโรมันครอบครองแผ่นนี้ ก็ได้สร้างอนุสรณ์สถานใหญ่โต แม้กาลเวลาจะผ่านมาเนิ่นนานนัก อนุสรณ์สถานแห่งนี้ยังยืนยัดยืนยงอยู่ที่นี่ ตรงนี้

 

อารีน่า หรือสนามกีฬาแห่งเวโรน่า สร้างด้วยหินอ่อนลายชมพู-ขาว ในสมัยโรมันจุผู้เข้าชมได้ถึง 30,000 คน ของเดิมนั้นจะเป็นกำแพงวงกลมสองชั้น แต่เมืองเวโรน่าโดนแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 1117 ทำให้กำแพงใหญ่รอบนอกถูกทำลายเกือบหมด ส่วนหินอ่อนก็ถูกนำไปใช้สร้างอาคารอื่นๆ ในเวลาต่อมา ปัจจุบันอารีน่าแห่งนี้ใช้เป็นโรงละครโอเปร่า และสถานที่แสดงคอนเสิร์ตในฤดูร้อน เราสองคนไม่ได้เข้าไปชมข้างใน เพราะกลัวฝูงชน

 

ทานข้าวและชมวิวเมืองเก่าเป็นกิจกรรมยอดนิยมของยุโรบ แต่ละเมืองที่มีอาคารเก่าแก่และงดงาม ก็จะมีผู้คนมากมายจูงลูกจูงหลานออกมาวิ่งเล่น มานั่งทานข้าวนอกบ้านและนอกร้าน แต่ละร้านจะมีคนเต็มร้าน สังเกตุดูทางเท้าของที่นี่สิ ส่วนใหญ่จะเป็นหินอ่อน ทอดยาวไปเป็นกิโลๆ เลยละ

 

เราปั่นจักรยานซอกแซกไปตามถนนแคบๆ ที่ปูด้วยหินแบบเก่า

 

ไปที่ไหนๆ ก็มีแต่คนมากมาย ศิลปินคนนี้ยืนวาดรูปกลางจัสตุรัส ภาพวาดจะดีกว่าภาพถ่ายก็ตรงนี้แหละ สามารถลบสิ่งระเกะระกะออกจากภาพได้ รูปวาดของเขาจึงสวยกว่ารูปถ่ายของอ้อยหวาน

 

บ้านจูเลียต มีผู้คนมากมายแวะเวียนมาขอพรให้สมหวังในเรื่องความรัก บ้านเก่าแก่หลังนี้ถูกอุปโหลกขึ้นมาให้เป็นบ้านของจูเลียตในศตวรรษที่ 14 เพื่อเรียกแขก คือใช้เป็นแหล่งท่องเที่ยวดึงดูผู้คน ที่จริงบ้านหลังนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากระเบียงที่ยื่นออกมา ในละครโรมิโอและจูเลียต ของ วิลเลียม เชกสเปียร์ มีฉากที่โด่งดังมากๆ คือฉากที่โรมิโอแอบปีนระเบียงขึ้นไปพรอดรักกับจูเลียต แม้จะเป็นสถานที่ที่ถูกอุปโหลกขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นสถานที่ที่มีผู้คนแวะมาชมมากที่สุดในเวโรน่า ใต้ระเบียงมีรูปปั้นบรอนซ์ของสาวน้อยจูเลียตที่น่าสงสาร เพราะทุกวันจะมีคนเข้าแถวกันยาวเยียดเพื่อมาแตะเต้านมข้างขวาของน้องนาง กล่าวกันว่าแตะแล้วโชคดีในเรื่องความรัก โดนแตะมาเป็นร้อยๆ ปี เต้านมข้างนั้นจึงเล็กลงและแวววาวเชียวละ

 

เขากล่าวกันว่า (อีกแล้ว) ถ้าเขียนชื่อคู่รักลงบนกำแพงทางเข้าบ้านของจูเลียต ความรักของคนคู่นั้นจะยืนยาว ดูดิ เละเลยกำแพงบ้าน เราไม่ได้ทำทั้งสองอย่างที่เขากล่าวกัน อ้อยหวานโผล่หน้าไปกดรูปมาสองสามรูปแล้วเราก็ใส่เกียร์หนี!

 

เราปั่นจักรยานออกมาชมเมืองด้านนอกดีกว่า นี้คือข้อดีของการปั่นจักรยาน ไม่ต้องไปเบียดเสียดผู้คนบนรถโดยสาร เห็นถ้าไม่ดีคนเยอะ ก็ออกไปที่อื่น

 

อย่างสะพานเก่าแก่ที่ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ เพราะของเก่าถูกทำลายในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง

 

สะพานของปราสาท Vecchio

 

โบสถ์ Basilica di San Zeno อยู่นอกเมืองเก่ามาหน่อยนึง ทำให้มีคนแวะมาชมน้อยกว่าที่อื่น เป็นโบสถ์ที่โรมิโอและจูเลียตแอบหนีมาแต่งงาน และเป็นโบสถ์ที่สวยมากมาย

 

สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 9 อายุกว่าพันปี เป็นที่เก็บร่างของนักบุญเซโน่แห่งเวโรน่า ภายในโบสถ์นั้นงดงามยิ่งนัก

 

รูปแกะสลักหินอ่อนภายในโบสถ์

 

ระเบียงโบสถ์ เป็นจุดที่อ้อยหวานชอบมากที่สุด เสาที่รองรับคานโค้งนั้นทำด้วยหินอ่อนสีชมพู

 

เราจากลาเวโรน่าในเช้าวันถัดมา โดยการนั่งรถไฟสี่ชั่วโมงย้อนกลับสู่อ้อมกอดของเทือกเขาแอล์ปในประเทศออสเตรีย

โปรดติดตาม ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ในตอนต่อไป

 

อ่าน ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอนที่แล้วได้ที่นี่

 

ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์

มุ่งหน้าสู่ภูเขา

วันฟ้าฉ่ำฝน

ขุมเขา สวนแอปเปิล และไร่องุ่น

ดุจเมืองในฝัน    

 

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

 

ขอบคุณค่ะ

 

อ้อยหวาน

 

ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอนสูงสุดฟ้า แต่ล้อติดดิน

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

 

ในความเหมือนมีความแตกต่าง และในความแตกต่างกลับมีความกลมกลืน..

ยอดเขาสูงลดลั่น บางยอดแหลม บ้างโค้งมน บางแห่งเป็นเนินเขียว บางแห่งเป็นป่าใหญ่ หรือสวนผลไม้ บางแห่งกลับเป็นผาหินสีน้ำตาล หรือสีเทาหม่น ไร้ความเขียวแม้แต่ตระไคร่น้ำก็ไม่มีให้เห็น

ยอดเขาแต่ละยอดต่างยืนสูง ทมึน องอาจ ที่ทำให้มนุษย์ตัวน้อยที่ยืนมองอยู่ข้างล่าง เต็มไปด้วยความรู้สึกที่แตกต่างหลากหลาย บางครั้งรู้สึกหวาดหวั่น บางครั้งก็ทะเยอทยาน ใฝ่ฝันที่จะไปหยอกล้อกับก้อนเมฆ แต่ความรู้สึกที่เหมือนกันก็คือ

ภูเขาเหล่านั้น ...ช่างงดงามเสียจริงๆ

 

ถ้ามีคนถามอ้อยหวานว่า เธออยากทำอะไร หากไร้ซึ่งความกลัว?

คำตอบก็คือ ปั่นจักรยานขึ้นเขา

ในตอนที่เริ่มปั่นจักรยานเที่ยวใหม่ๆ อ้อยหวานจำได้ว่าพอเห็นสะพานก็รู้สึกกลัวแล้ว  ขาทั้งสองจะเริ่มสั่นในทันทีทันใด ต้องลงเข็นจักรยานขึ้นสะพานอยู่หลายรอบ จนวันหนึ่ง..ปั่นมาถึงเชิงสะพาน จู่ๆ เจ้าตัวทะเยอทยานวิ่งจิ๊ดขึ้นมาเป็นผู้สั่งการ ให้สองขาซอยเท้าปั่นถี่ๆ ส่วนเจ้าความกลัวกลับไปเป็นคนกลั้นหายใจดู ไปถึงบนสะพาน ความทะเยอทยานและความกลัวกลับหลอมรวมกันเป็นความภาคภูมิใจ โอ้บนสะพานมีวิวสวยนะ.. หลังจากนั้นอ้อยหวานก็ค่อยๆ เริ่มมองหาความสูงที่สูงกว่า แม้นบางครั้งจะปั่นขึ้นไม่ได้ แต่ก็เข็นขึ้นได้ ความภาคภูมิใจในการเข็นขึ้นเขานั้น เท่าเทียมกับการปั่นขึ้นเขาไม่ขาดไม่เกิน เพราะต้องมายืนหอบชมวิวเหมือนกัน และหลังจากหยุดหอบแล้ว ก็ได้ยืดอกบอกตัวเองว่า ฉันทำได้

 

ในการปั่นเที่ยวเทือกเขาแอลป์ทริปนี้ อ้อยหวานยังได้ ‘นิ้วโป้ง’ อยู่หลายเที่ยวเชียวละ (ไม่ได้คุยนะ จะบอกให้) เพราะแถวนี้เขาไม่เคยเห็นใครเอาจักรยานพับได้ที่มีล้อเล็กๆ แถมแบกกระเป๋าหนักๆ ทั้งสองข้าง มาขึ้นเขาลงเขาอย่างไม่กลัวความสูง และอ้อยหวานก็แน่ใจว่า นิ้วที่ยกให้หลายครั้งนั้น เขายกให้กับความอึด ไม่ใช่ปั่นเก่งหรอกนะ!

 

จากเมืองมรดกโลก ‘เวโรน่า’  เราเข็นจักรยานขึ้นรถไฟกันอีกครั้ง รถไฟ วิ่งซอกแซกไปในหุบเขา บนเขา และทะลุเขา เข้าๆ ออกๆ อุโมงค์เป็นว่าเล่น ใช้เวลาเพียงสี่ชั่วโมง เราก็กลับเข้ามาสู่อ้อมกอดของเทือกเขาแอลป์อีกครั้ง เมื่อลงรถไฟที่เมืองอินส์บรุค (Innsbruck) ออสเตรีย น้องฝนก็มาต้องรับอย่างเคย เมืองทั้งเมืองปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก

 

คำว่า อินส์บรุค (Innsbruck) มาจากคำว่า อินน์ (Inn) ซึ่งเป็นชื่อแม่น้ำที่ไหลผ่านเมือง รวมกับ บรุค (bruck) ที่มาจากคำว่า Brückeซึ่งเป็นคำในภาษาเยอรมันหมายถึง สะพาน ดังนั้นชื่อเมืองจึงมีความหมายว่า สะพานข้ามแม่น้ำอินน์

ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย

**หมายเหตุ ประเทศออสเตรียเป็นประเทศที่ใช้ภาษาเยอรมัน

อินส์บรุค เป็นเมืองท่องเที่ยวอีกเมืองหนึ่ง เราไม่ได้ชมเมืองกันมากนัก เพราะฝนตก แถมคนเยอะอีกต่างหาก เช้าวันรุ่งขึ้นเราเร่งรีบเก็บของใส่จักรยาน แล้วมุ่งหน้าออกจากเมือง

 

รู้สึกไหม? บ่อยครั้งที่เราอยู่ในเมืองท่ามกลางผู้คน ความวุ่นวาย จอแจของเมือง มันทำให้เรารู้สึกเหนื่อยล้า ต้องออกไปสู่อ้อมกอดของธรรมชาติ ไปชาร์ทแบ็ต ไปดื่มด่ำกับความบริสุทธิ์รอบตัว เราปั่นจักรยานไปบนเส้นทางจักรยานแม่น้ำอินน์ หันหลังให้กับเมือง

 

เส้นทางจักรยานแม่น้ำอินน์นี้จะขึ้นๆ ลงๆ บนเนินเขา เลาะเลียบแม่น้ำอินท์ ทัศนียภาพในหุบเขาแม่น้ำอินท์นี้ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับทางฝั่งอิตาลีที่เราพึ่งผ่านมา ที่นี่ไม่มีสวนแอปเปิลหรือไร่องุ่น แต่กลับเป็นเนินหญ้าสำหรับเก็บเกี่ยวไปเป็นอาหารสัตว์  หรือสวนผักต่างๆ คงจะเป็นเพราะทางฝั่งนี้อากาศจะหนาวกว่าทางฝั่งอิตาลีมาก

 

ทุ่งมัสตาร์ดเหลืองอร่ามกับวิวภูเขางามๆ

 

ผ่านเมืองริมน้ำสุดสวยก็ต้องออกจากเส้นทางกันนิดนึง

 

เดินชมเมืองกันไม่นาน เพราะเป็นเมืองที่เล็กมาก แต่ก็สวยคุ้มค่ากับการหยุดแวะชม

 

เส้นทางผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่ แล้วเราก็เริ่มเห็นบ้านหลังสวยๆ ตามแบบฉบับออสเตรียดั้งเดิม บางหลังดูใหญ่โตเอามากๆ นั่นคือบ้านที่สร้างรวมกับคอกเลี้ยงสัตว์ ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า house barn หลังนี้อยู่กลางหมู่บ้านเลย แล้วกลิ่นก็แรงมากด้วย คนในหมู่บ้านคงจะเคยชินกันแล้ว

 

ชิวชิว.. บนเส้นทางจักรยานแม่น้ำอินน์

 

เมืองที่เราแวะค้างคืน เมือง Kufstein (ไม่ทราบว่าออกเสียงเช่นไร?) เป็นเมืองป้อมปราการ และเหมือนเคย เราได้แต่แหงนคอชื่นชมอยู่ข้างล่าง

 

ประตูย้อนอดีต หรือประตูเมืองเก่า

 

เช้าของอีกวันเราโบกมืออำลาแม่น้ำอินน์ มุ่งหน้าสู่ภูเขา วันนี้เราต้องข้ามภูเขาลูกไม่ใหญ่ แต่ก็ไม่เล็ก เป็นเส้นทางผ่านป่าที่มีต้นไม้สูงใหญ่ แม้จะมีแต่ขึ้น ขึ้น และขึ้น ไปหลายกิโลเมตร ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าต้องมีการเข็นทัวร์

 

แต่วิวที่มองลงไปมันสวยมากมาย ขณะที่เขียนบล็อกนี้ อ้อยหวานได้ยินเสียงตัวเองร้องบอกคนข้างตัวว่า อยากกลับไปเข็นจักรยานที่นั่นอีก

 

พ้นเขาสูงใหญ่ลูกนั้น เราก็พบกับฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ทุ่งหญ้าขียวขจี และหมู่บ้านบนเขา เสาที่เห็นกลางหมู่บ้านคือ เสาเมย์โพล (maypole) แปลกันตรงตัวว่า เสาพฤษภาคม คือเสาที่ใช้ในงานเทศกาลเมย์เดย์ ซึ่งมีขึ้นในวันที่หนึ่งของเดือนเมย์หรือพฤษภาคม และถือกันว่าเป็นวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ หลายประเทศในยุโรบถือเป็นประเพณีสืบต่อกันมาช้านาน อาจจะแตกต่างกันบ้างในแต่ละประเทศ แต่ส่วนใหญ่จะมีงานเลี้ยง มีการเต้นรำและร้องเพลงรอบๆ เสาเมย์โพล เราพลาดงานนี้ไปตั้งเดือนกว่า แต่ก็ยังดีที่เขาทิ้งเสาไว้ให้คนพลาดงานได้ชม

 

แม้เราจะพ้นเนินใหญ่มาแล้ว แต่เส้นทางก็ขึ้นๆ ลงๆ ไปตามไหล่เขา บางเนินดูราวกับว่าเรากำลังทะยานสู่ท้องฟ้า

 

ใช่เลย..สูงสุดฟ้า แต่ล้อติดดิน

 

บนเส้นทางวันนี้เราได้ชมบ้านบนภูเขาแบบออสเตรียแท้ มากมายหลายหลัง ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ของการปั่นจักรยานเที่ยวในออสเตรียแอลป์

 

ปรกติแล้วบ้านแบบออสเตรียดังเดิมจะมีเพียงสามชั้น แต่ก็มีบางหลังที่มี่สี่ชั้น แต่ละชั้นจะมีระเบียงไว้สำหรับชมวิวภูเขาอันตระการตา ระเบียงไม้ฉลุลวดลายงดงาม ในฤดูร้อนดอกไม้ในกระถางบนระเบียงบ้าน จะพากันเบ่งบานห้อยระย้าแต่งแต้มสีสันให้แก่บ้าน

 

บ้านเก่าหลายหลังถูกดัดแปลงให้เป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว หลังที่เป็นแบบเก่าดั้งเดิมจริงๆ จะมีหอระฆังเล็กๆ ตั้งเด่นอยู่บนหลังคา ในสมัยก่อนแม่บ้านจะสั่นระฆังเป็นการบอกกล่าวผู้คนที่ทำงานในไร่นาตามเนินเขา ว่าถึงเวลาทานอาหารแล้วจ้า

 

มาดูด้านข้างกันบ้าง บ้านออสเตรียแบบดั้งเดิม ที่เป็น house barn คือบ้านคนอยู่ด้านหน้าและข้างบน ส่วนหลังจะเป็นคอกเลี้ยงสัตว์ ในฤดูหนาวการอยู่รวมกันแบบนี้ทำให้อบอุ่น ในฤดูร้อนน้องวัวทุกตัวจะถูกต้อนไปอยู่บนเนินเขาที่สูงขึ้นไปอีก ช่วงที่เราไปฟาร์มส่วนใหญ่ได้ย้ายวัวออกไปแล้ว วัวพวกนี้คงจะได้ย้ายบ้านในเร็ววัน ส่วนหอระฆังบนหลังคาจะมีเชือกห้อยลงมาไว้ใช้สั่น

 

บ้านแต่ละหลังอยู่ห่างกันมาก แถบนี้ไม่ค่อยจะเป็นเมือง แต่ก็มีที่พักหรือโรงแรมเล็กๆ อยู่หลายแห่งไว้ต้อนรับผู้คนที่หนีร้อนจากในเมืองข้างล่าง ขึ้นมาพักผ่อน หรือมาเล่นสกีในฤดูหนาว ที่พักของเราอยู่เลยทะเลสาบไปไกลหลิบๆ  เป็นโรงแรมเล็กๆ ที่คิดรวมค่าที่พัก อาหารมื้อค่ำ และมื้อเช้า  

โปรดติดตาม ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ในตอนต่อไป

อ่าน ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอนที่แล้วได้ที่นี่

ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์

มุ่งหน้าสู่ภูเขา

วันฟ้าฉ่ำฝน

ขุมเขา สวนแอปเปิล และไร่องุ่น

ดุจเมืองในฝัน    

ตามหาโรมิโอและจูเลียต ที่..เวโรน่า

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

ขอบคุณค่ะ

อ้อยหวาน

 

ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอน ท่ามกลางสายฝนสู่เมืองเดอะซาวน์ออฟมิวสิค

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

Photo:

ทุกๆ สถานที่ ทุกๆ แห่งหน มีเสน่ห์ในตัวของมันเอง

ขึ้นอยู่กับเราที่จะไปค้นพบค้นหา

แม้นว่าโลกนี้จะมีดวงตะวันอยู่ดวงเดียว ทุกแห่งหนในโลก ผู้คนมองเห็นดวงตะวันดวงเดียวกัน

แต่.. ตะวันในแต่ละสถานที่กลับมีเสน่ห์ที่แตกต่างกัน

นี่แหละที่ทำให้โลกนี้น่าพิศวงยิ่งนัก ดึงดูดใจให้ผู้คนออกไปค้นพบความงามหนึ่งเดียว ที่แตกต่าง

 

Photo:

ในความมืดของก่อนอรุณรุ่ง เงามืดบนท้องฟ้า เริ่มเป็นสีชมพูสดสวย ดุจดังนางฟ้ากำลังแต้มระบายสีน้ำบนผืนฟ้า สีชมพูค่อยๆ กระจายไล่เงาดำออกไปจนหมดฟ้า และแล้วนางฟ้าก็แต้มสีทองลงตรงเหลี่ยมเขา เป็นสัญญานว่า...วันใหม่กำลังจะมาถึง

อ้อยหวานตื่นแต่เช้า แล้วออกมานั่งรอชมความงามที่ธรรมชาติสร้างสรร ตรงนอกระเบียงห้องพัก ภาพที่สองนี้ห่างจากภาพแรกสิบห้านาที แต่สีสันต่างกันมาก

อ้อยหวานได้เรียนรู้จากบันทึกของนักปั่นคนอื่นว่า ยามเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น หากท้องฟ้าเป็นสีชมพูเข้ม ก็เตรียมตัวไว้เลย วันนั้นต้องได้ปั่นจักรยานกลางสายฝน แล้วก็ใช่จริงๆ

 

Photo:

เราเริ่มเช้าวันใหม่อย่างสดใส บนเส้นทางจักรยานที่มีชื่อเสียงของออสเตรีย เส้นทางจักรยานโมสาร์ท (Mozart bike path) เป็นเส้นทางจักรยานที่ได้ชื่อมาจากโวล์ฟกัง โมซาร์ท นักประพันธ์ดนตรีคลาสสิก ชาวออสเตรียที่มีชื่อเสียงก้องโลก

เส้นทางจักรยานโมสาร์ทนี้วิ่งเป็นวงกลม คือ เริ่มต้นและจบลงที่เมืองซาลซ์บูร์ก เมืองบ้านเกิดของโมซาร์ท มีระยะทางทั้งสิ้น 450 กิโลเมตร แต่เรามาเริ่มปั่นกลางเส้นทาง เพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองซาลซ์บูร์ก

 

Photo:

เส้นทางจักรยานโมสาร์ทส่วนที่เราเลือกปั่นนี้ค่อนข้างขรุขระ มีก้อนหินแหลมคมตะปุ่มตะป่ำน้อยใหญ่ ส่งผลให้เราได้ทำลายสถิติยางแบนในหนึ่งวัน จักรยานของอ้อยหวานโดนไปสามครั้ง ของคุณผู้ชายสองครั้ง เลยได้ฝึกเปลี่ยนยางกันจนชำนาญไปเลย

 

Photo:

เส้นทางหินแบบนี้ถ้ามากับรถวิบากคงจะสนุก แต่สำหรับจักรยานแล้ว คงจะต้องเป็นพวกเสือภูเขา หรือแฟตไบท์ที่มีล้ออ้วนใหญ่ จักรยานพับของเราก็ต้องค่อยๆ คืบคลานไปที่ละนิด ลุยไม่ได้

แต่ภาพภูเขาสลับซับซ้อน บ้างเป็นเนินหญ้าเขียวขจีมีดอกไม้ป่าขึ้นกระจัดกระจาย  บ้างเป็นป่าสนที่มีต้นสูงใหญ่ขึ้นเบียดกันหนาทึบ ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ใดๆ ให้ระคายหู  นอกเสียจากเสียงนกร้องเคล้าคลอด้วยเสียงสายน้ำ ทำให้เส้นทางนี้คุ้มค่ากับการเดินทางมาชม

 

Photo:

บ้านแบบออสเตรียนี้ ช่างดูสวยงามและน่าอยู่ยิ่งนัก ส่วนใหญ่จะเป็นครึ่งไม้ครึ่งตึก และจะฉลุลายบนไม้ดูสวยงามมาก สองหลังนี้อาจจะเป็นโรงแรมกลางป่าหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะแถวนี้มีเส้นทางเดินป่าและปีนเขาอยู่หลายแห่ง

 

Photo:

แล้วน้องฝนก็มาตามนัด และอยู่เป็นเพื่อนเราไปตลอดเส้นทาง เธอพาพี่เมฆ น้องหมอกมาด้วย ทำให้เมืองในหุบเขาทั้งเมืองกลายเป็นเมืองในสายหมอก

 

Photo:

เราแวะพักทานข้าวเที่ยงที่นี่บ้านเก่าหลังนี้อายุเกือบสองร้อยปี ถูกชุบชีวิตใหม่ กลายมาเป็นโรงแรมและร้านอาหาร ปรกติแล้วข้าวเที่ยงของเราจะเป็นแซนวิทที่ทำจากอาหารเช้าบุฟเฟต์ของโรงแรม แล้วเราก็แวะปิกนิคกันกลางทางจะได้ไม่เสียเวลา แต่วันนี้ฝนตกและอากาศค่อนข้างเย็น ซุปร้อนๆ กับกาแฟคนละถ้วย ช่วยได้มากทีเดียว

ตอนเราหยุดพัก น้องฝนก็หยุดพักด้วย พอทานเสร็จเริ่มปั่นกันต่อ คุณเธอก็เริ่มปรอยเช่นกัน

 

Photo:

เส้นทางบางช่วงกลายเป็นแบบนี้ โบสถ์เล็กๆ มีให้ชมอยู่ประปราย ที่ยุโรบก็คงเหมือนกับเหมือนไทยหรือหลายๆ ประเทศในทวีปเอเชีย ที่ค่อนข้างเคร่งศาสนา ผ่านไปทางไหนก็พบเจอกับโบสถ์น้อยใหญ่ กลางป่า บนเขาก็ต้องมีอย่างน้อยหนึ่งโบสถ์

 

Photo:

ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ระยะทางเจ็ดสิบกว่ากิโลเมตร เรามาถึงที่พักในสภาพเปียกปอน

เช้าวันรุ่งขึ้นเหลือระยะทางเพียงยี่สิบกิโลเมตรเข้าสู่เมืองซาลซ์บูร์ก แต่ฝนที่ตกตลอดทั้งคืนก็ไม่มีทีท่าว่าจะซาลงเลย แค่ปั่นไปขึ้นรถไฟก็เปียกปอนกันแล้ว เราไปถึงเมืองซาลซ์บูร์ก น้องฝนได้กลายร่างเป็นพายุร้าย กระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา ก็เลยได้เป็นวันหยุดพักของเรา ไว้พรุ่งนี้ค่อยออกไปชมเมือง   

 

Photo:

เมืองซาลซ์บูร์ก นอกจากจะเป็นเมืองบ้านเกิดของโมซาร์ทแล้ว ยังเป็นเมืองมรดกโลกขององค์การยูเนสโกอีกด้วย และที่ทำให้เมืองซาลซ์บูร์ก ดังก้องโลกยิ่งขึ้นก็คือ เป็นที่ถ่ายทำภาพยนต์ชื่อดัง เดอะซาวน์ออฟมิวสิค หรือชื่อภาษาไทย มนต์รักเพลงสวรรค์

 

Photo:

เช้าวันต่อมาฟ้าใสไร้ฝน สองจักรยานก็ได้หมุนล้อเริงร่าชมเมือง แห่งแรกที่ต้องแวะไปแต่เช้า ก่อนนักท่องเที่ยวจะแห่กันมาก็คือ สวนมิราเบล (Mirabell) ของพระราชวังมิราเบล สวนมิราเบลนี้จัดว่าเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวเข้าชมมากที่สุดในซาลซ์บูร์ก

 

Photo:

เพราะเป็นที่ถ่ายทำภาพยนต์ เดอะซาวน์ออฟมิวสิค อยู่หลายฉาก และนี่ก็คือฉากหนึ่ง ที่นางเอกและเด็กๆ วิ่งเล่นร้องเพลงโด-เร-มี ในสวนสวย

 

Photo:

สวนกุหลาบในสวนมิราเบล

แม้ว่าดอกกุหลาบทั้งหลายจะโดนฝนกระหน่ำจนคอตกคออ่อนกันเป็นแถว แต่ก็ยังดูสวยเอามากๆ และที่วิเศษไปกว่านั้นก็คือกลิ่นหอม กลิ่นกุหลาบเป็นพันๆ ดอกนี้ ช่างหอมหวลยวนฤดี

 

Photo:

สายหน่อยนักท่องเที่ยวก็มากันเต็มสวน พื้นที่กว้างใหญ่มองเห็นแต่หัวคน เพราะ เดอะซาวน์ออฟมิวสิค ชื่อดังจริงๆ ที่นี่เขาจะมีรถนำเที่ยวพาชมสถานที่ถ่ายทำหนังเรื่องนี้แต่ละแห่งโดยเฉพาะ

แต่อ้อยหวานขอไปเที่ยวกับสองล้อ อิสระดุจนกโผบิน

 

Photo:

เมืองเก่าซาลซ์บูร์กนั้นอยู่ตรงกันข้ามฝั่งแม่น้ำกับสวน ที่ไหนๆ ก็มีสะพานกุญแจรัก ซาลซ์บูร์ก ก็มีกะเขาบ้าง

อ้อยหวานขอคัดลอกต้นตำนาน "สะพานคู่รัก"ที่ตอนนี้เริ่มแพร่หลายเข้าไปในหลายๆ ประเทศ มาให้อ่านกันเล่นๆ

สะพานคู่รัก หรือ สะพานกุญแจรัก ต้นตำหรับคือสะพานปงเดซาร์ สะพานคนเดินเท้าข้ามแม่น้ำแซนในปารีส ฝรั่งเศส สร้างขึ้นประมาณปี ค.ศ. 1802-1804 ในสมัยจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของปารีส จากตำนาน "สะพานคู่รัก"ที่คู่หนุ่มสาวนิยมนำกุญแจสลักชื่อตัวเอง มาแขวนไว้กับราวสะพาน จากนั้นก็โยนลูกกุญแจลงในแม่น้ำแซนเป็นการแสดงคำมั่นสัญญาในความรักต่อกัน

ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย

แต่อ้อยหวานได้ข่าวมาว่าสะพานปงเดซาร์  ต้นตำหรับนี้ โดนรื้อเอากุญแจออกไปหมดแล้ว และห้ามคล้องกุญแจรักอีกต่อไป เพราะสะพานรับน้ำหนักของความรักทั้งหลายไม่ไหว ทำให้ราวสะพานเก่าแก่ส่วนหนึ่งพังทลายลง แต่สะพานกุญแจรักของเมืองซาลซ์บูร์กเป็นสะพานใหม่ คงจะสร้างมาเพื่อรับรองความรักได้เหลือเฟือ

 

Photo:

จัสตุรัสกลางเมืองที่ค่อนข้างกว้างกว่าเมืองอื่นๆ ที่อ้อยหวานเที่ยวชมมา เราแวะเข้าไปชมโบสถ์ไม่กี่นาที กลับออกมาอีกทีรถม้ามีนักท่องเที่ยวสอยไปหมด ส่วนลานก็เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวอีกเช่นกัน

 

Photo:

อีกมุมหนึ่งของเมือง

 

Photo:

โบสถ์ใหญ่แห่งเมืองซาลซ์บูร์ก

 

Photo:

ตลาดเล็กๆ ใจกลางเมืองเก่า หนุ่มน้อยคนนี้ยืนเลือกดอกไม้อยู่นาน สุดท้ายก็ได้ดอกไม้ช่อเล็กๆ อ้อยหวานนึกเอาเองว่าคงเอาไปฝากแม่ที่บ้าน ไม่ใช่แฟน

 

Photo:

แผงนี้ขายขนมเพรทเซลทุกรูปแบบและทุกขนาด

ขนมเพรทเซล (Pretzel) หรือ Brezel ในภาษาเยอรมัน เป็นคำเก่าแก่ที่ใช้กันในสมัยกลาง ซึ่งแปลว่า กำไลข้อมือ ขนมเพรทเซลนี้เริ่มค้นคิดขึ้นในยุโรบโดยนักบวชคริสต์ นับย้อนหลังไปหลายร้อยปีตั้งแต่ต้นสมัยกลาง บางตำราบอกว่าคิดค้นที่อิตาลี บ้างก็ว่าที่ฝรั่งเศส แล้วไม่ต้องแปลกใจหากเยอรมันบอกว่า ที่เยอรมันต่างหากละ

กล่าวกันว่าในคริสศาสนา ขนมเพรทเซล คือสัญญาลักษณ์ของมือที่พนมเข้าหากัน เพื่ออธิษฐานและรำลึกถึงพระเจ้า รูปร่างที่มีช่องสามช่องเป็นตัวแทนของพระเจ้าสามองค์คือ พระบิดา พระบุตร และพระจิต (หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์)

ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย

ในความคิดส่วนตัวของอ้อยหวานขนมเพรทเซลที่อร่อยที่สุด ต้องไปกินที่ญี่ปุ่น แม้จะเป็นขนมที่ดัดแปลงสูตร เสียจนนุ่มอร่อย ไม่แข็งจนปาหัวหมาแตกเหมือนของแท้และดั้งเดิม

 

Photo:

เย็นวันนั้น เราสองคนได้ปีนบันไดหลายขั้นขึ้นเนินเขาเหนือเมืองซาลซ์บูร์ก เพื่อไปรอชมการแสดงตระการตาของพระอาทิตย์อัสดง

 

Photo:

เมื่อตะวันลับไป ไกลจากขอบฟ้า

เสียงเพลงลา แว่วมากับสายลม

กาสะลองล่องลอย ปลิดพลิ้วไปตามลม

ลมความฝันพัดไป ไกลจากบ้าน

บนเส้นทางฝันไกล ไปสู่จุดหมาย

 

Photo:

คําสุดท้าย แม่ฝากยังได้ยิน

ไม่เคยลืมเลยซักคํา ตราบที่หัวใจโบยบิน

ถ้อยคํานั้นยังได้ยิน รักและห่วง

คืนร้างทางเปลี่ยว หัวใจลูกยังอุ่น

ความรักไม่เคยจาง ห่างกันแสนไกล

เหมือนดวงดาว พร่างพราวบนฟ้าไกล

ไกลแสนไกล หัวใจอยู่ใกล้กัน

 

ขอบคุณเนื้อเพลง กาสะลอง ของ ลานนา คัมมินส์

 

โปรดติดตาม ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ในตอนต่อไป

 

อ่าน ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอนที่แล้วได้ที่นี่

ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์

มุ่งหน้าสู่ภูเขา

วันฟ้าฉ่ำฝน

ขุมเขา สวนแอปเปิล และไร่องุ่น

ดุจเมืองในฝัน    

ตามหาโรมิโอและจูเลียต ที่..เวโรน่า

สูงสุดฟ้า แต่ล้อติดดิน

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

ขอบคุณค่ะ

อ้อยหวาน

 


ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอน เติมความหวานบนเส้นทางสายโรแมนติก

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

ชีวิตคือการเดินทาง

และ ความรัก คือสิ่งที่ทำให้การเดินทางนั้นมีค่าที่สุด

life's a journey and love is what makes that journey worthwhile

 

ตามแผนเดิมที่เราวางไว้จากเมืองซาลซ์บูร์ก เมืองเดอะซาวน์ออฟมิวสิคเราจะปั่นเลียบแม่น้ำไปทางทางทิศตะวันออก จนไปจรดที่แม่น้ำดานูบ (Danube River) เป็นแม่น้ำที่ยาวเป็นอันดับสองของทวีปยุโรป แต่ก็ต้องเปลี่ยนแผน หันทิศทางการเดินของเราไปทางตรงกันข้าม เนื่องจากฝนที่ตกเกือบทุกวัน ทำให้น้ำป่าจากเทือกเขาแอลป์ไหลบ่าและท่วมพื้นที่และเมืองที่อยู่ห่างจากเมืองซาลซ์บูร์กไปเพียงหกสิบกิโลเมตรอย่างฉบับพลัน สร้างความเสียหายมากมาย

เมื่อน้องน้ำนัดเจอกันครั้งใหญ่เยี่ยงนี้ สองนักปั่นเที่ยวขอหลีกทางให้ หลังจากดูข่าวแล้ว คนที่ไปด้วยก็หันมาถามอ้อยหวานว่า ‘ทีนี้เราจะไปไหนกันดี’ อ้อยหวานตอบไปอย่างทันควันว่า ‘ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าเจ้ารู้จักเส้นทางทุกสายในยุโรบ’ (ว่าไปนั่น) เนื่องด้วยเป็นคนที่ชอบอ่านบันทึกของนักปั่นทั้งหลาย แล้วฝันเฟื่องไปเรื่อยๆ ส่งเจ้าตัวน้อยของแผนที่กูเกิ้ลลงไปดูเส้นทางออกบ่อยๆ ทำให้รู้ดี (ทั้งๆ ที่ไม่เคยไปเยียบแถวนั้นเลย) อีกทั้งแถวนี้ (เยอรมันและออสเตรีย) ก็มีเส้นทางจักรยานออกตรึม เยอะแยะ ตัดกัน ขนานกัน พันกันนัวเนียเป็นใยแมงมุม ยิ่งกว่าทางหลวงเสียอีก

ใช้เวลาเพียงสิบนาทีแผนการเดินทางเส้นใหม่ก็ถือกำเนิด ...ไปเราไป ไปเติมความหวานบนเส้นทางสายโรแมนติกกันดีกว่า

 

เส้นทางสายโรแมนติก (the Romantic Road Cycle route) แค่ฟังชื่อก็ตื่นเต้นแล้วใช่ไหม? เส้นทางที่มีความยาว 440 กิโลเมตรสายนี้ วิ่งจากเหนือสู่ใต้ เริ่มต้นจากตอนกลางของประเทศเยอรมัน ไม่ไกลจากเมืองแฟรงก์เฟิร์ต ( Frankfurt) สู่เทือกเขาแอลป์ที่อยู่ทางใต้ของประเทศ ผ่านพื้นที่ที่มีทิวทัศน์สวยเลิศล้ำ เป็นที่ประชุมกันของธรรมชาติ ป่าเขา ลำเนาไพร สายน้ำ ไปจนถึงเมืองเก่าแก่และหมู่บ้านสุดสวยที่แสนจะโรแมนติก และที่โรแมนติคสุดๆ ชนิดที่โด่งดังไปทั่วโลกก็คือ เมืองฟุสเซ่น (Fussen) ที่เป็นเมืองจุดปลายทางของเส้นทางสายโรแมนติก  และเป็นที่ตั้งของปราสาทนอยชวานชไตน์ (Neuschwanstein) ปราสาทสุดโรแมนติคที่ไม่มีปราสาทไหนจะเทียมทานได้ ชื่อดังอย่างนี้ไม่ไปไม่ได้แล้ว

เราสองคนไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้าสำหรับการผิดแผนนี้ คุณผู้ชายจึงต้องดาวน์โหลดแผนที่การนำทางด้วย GPS ใหม่ไว้ในมือถือ และลบของเก่าออกหมด ระหว่างนั้นอ้อยหวานก็ต้องหาวิธีที่จะไปถึงเส้นทางสายที่มีชื่อสุดโรแมนติคสายนั้น สรุปแล้ว เราต้องเข็นจักรยานขึ้นรถไฟกลับไปที่จุดเริ่มต้นของเรา คือเมืองมิวนิค แล้วปั่นออกจากมิวนิคไปในเส้นทางตรงกันข้าม เพื่อไปเริ่มปั่นตรงช่วงกลางของเส้นทาง และนั่นหมายความว่าเราเข้าหาเทือกเขาแอลป์กันอีกแล้ว! เพิ่งจะหลุดออกมาอยู่หยกๆ คราวนี้เลยได้สัมผัสไออุ่นของเทือกเขาแอลป์กันจนจุใจไปเลย

 

โดยส่วนตัวของอ้อยหวาน...ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางไหนเพียงแค่โรยด้วยกลีบดอกไม้ ก็สุดแสนจะโรแมนติกแล้ว

 

จากสถานีรถไฟมิวนิคเรามุ่งหน้าปั่นออกไปทางทิศตะวันตก ใช้เวลาปั่นสองวัน ไปยังเมืองที่อยู่กึ่งกลางของเส้นทางสายโรแมนติก ระหว่างทางเราปั่นผ่านทุ่งข้าวสาลี

สีเหลืองหรือเขียวสดใส ทุ่งแล้วทุ่งเล่า เยอรมันเป็นประเทศที่ผลิตข้าวสาลีมากเป็นอันดับเจ็ดของโลก อ้อยหวานไม่รู้ว่าข้าวสาลีแถบนี้มีจุดหมายปลายทางในถังเบียร์กันมากน้อยแค่ไหน เพราะแถบนี้มีโรงกลั่นเบียร์อยู่มากมาย

พูดถึงเบียร์แล้ว ก็ต้องฝอยนอกเรื่องกันนิดนึง ไหนๆ ก็มาเยือนถิ่นเจ้าแห่งเบียร์

 

เบียร์เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่บริโภคกันอย่างแพร่หลายที่สุดในโลก และเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เก่าแก่ที่สุดของโลกอีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องดื่มที่นิยมกันมากเป็นอันดับสามของโลก รองจากน้ำเปล่าและน้ำชา ประวัติของเบียร์นั้นสามารถนับย้อนหลังไป 4000 ปี ก่อนคริสตกาล และเป็นที่รู้จักกันดีของผู้คนในสมัยอียิปต์โบราณและเมโสโปเตเมีย

กรรมวิธีผลิตเบียร์เรียกว่า Brewing คำนี้ในภาษาอังกฤษจะใช้กับเบียร์เท่านั้น ไม่ใช้กับการหมักทำเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ ส่วนในภาษาไทยอ้อยหวานไม่แน่ใจว่าใช้คำไหน ส่วนผสมในการผลิตเบียร์หลักๆ ก็มี ธัญพืช ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ข้าวบาเลย์ ข้าวสาลี ข้าวโพด และข้าว แต่ธัญพืชเหล่านั้นต้องผ่านกรรมวิธี มอลต์ (malt) ซึ่งมีวิธีการดังนี้ นำเมล็ดธัญพืชมาตากแห้งในพื้นที่ร่มประมาณหกอาทิตย์ เพื่อให้เมล็ดคลายการพักตัว จากนั้นก็นำมาแช่น้ำไว้ 2-3 วัน เพื่อให้เมล็ดงอกรากและใบอ่อน แล้วนำเมล็ดข้าวเหล่านั้นไปอบแห้งอย่างช้าๆ ข้าวที่อบเสร็จแล้ว เรียกว่า ข้าวมอลต์

นอกจากข้าวมอลต์แล้ว ส่วนผสมที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ดอกฮ็อฟ (Hops) ที่มีคุณสมบัติเป็นสารกันบูดธรรมชาติ และให้รสขมในเบียร์ ส่วนผสมอย่างอื่นก็ตามแต่สูตรใครสูตรมัน บ้างใส่สมุนไพร หรือบางแห่งจะเติมผลไม้ลงไปด้วย

ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย

อ้อยหวานเป็นคนที่ไม่ชอบดื่มเบียร์ เพราะมันขม ดื่มไม่ลง แต่พอมาถึงเยอรมัน ประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็นราชาแห่งเบียร์ ก็เริ่มเหล่ตามาดูเบียร์ เพราะมันถูกกว่าน้ำดื่มธรรมดาๆ เสียอีก แล้วที่นี่ก็มีเบียร์ร้อยแปดพันเก้าชนิด มีตั้งเบียร์ขาว ดำ แดง เบียร์แรง เบียร์นุ่ม และมีเบียร์สำหรับนักปั่น คือเบียร์อ่อนๆ ดื่มแล้วยังปั่นไหว ไม่พุ่งตกทาง และเบียร์ที่อ้อยหวานชอบคือเบียร์ผสมน้ำมะนาว รสชาติแปลกๆ ที่เข้ากันมาก

 

นอกจากจะเป็นราชาแห่งเบียร์แล้ว อ้อยหวานยังยกตำแหน่งราชาแห่งโลกสีเขียวให้แก่ประเทศเยอรมันอีกด้วย หลังคาบ้านของที่นี่จะมีแผงโซล่าเซลล์ หรือแผงพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งกันเป็นว่าเล่น

 

เยอรมันมีการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์เป็นอันดับสองของโลกรองจากประเทศจีน แต่คิดดูสิว่าเยอรมันมีขนาดพื้นที่และประชากรน้อยกว่าจีนมากมาย ดังนั้นอ้อยหวานจึงยกตำแหน่งราชาแห่งโลกสีเขียวให้แก่เยอรมัน อย่างไม่ลังเลใจ

 

และนอกจากการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์กันมากมายบนหลังคาบ้านและอาคารต่างๆ แล้ว เรายังพบกับกังหันลมผลิตไฟฟ้าอีกมากมายตลอดเส้นทาง สำหรับนักปั่นแล้ว เมื่อเจอกับกังหันลมผลิตไฟฟ้าก็แน่ใจได้เลยว่า จะต้องเจอกับลมปะทะหน้าหรือลมหนุนหลัง ในกรณีของเราสองคนคือข้อแรก! อ้อยหวานยังพูดกับคู่ปั่นว่าทำไมเราเจอกับลมปะทะหน้าตลอด ไม่เคยเจอลมหนุนหลังเลยสักครั้ง

 

ในเมืองใหญ่ๆ ก็มีการใช้รถรางพลังไฟฟ้า สะอาดปลอดสารพิษ และกลิ่นควัน แต่ขอบอกว่าผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่เขาปั่นจักรยานไปไหนมาไหนกัน มีแต่คนต่างถิ่นเท่านั้นหรอกที่ขึ้นรถประจำทาง และที่อ้อยหวานชอบใจมากๆ ก็คือ แม้แต่ในฤดูหนาว ผู้คนที่นี่เขาก็ยังปั่นจักรยานกัน

 

เราใช้เวลาปั่นสองวันก็มาถึงเมืองกึ่งกลางของเส้นทางสายโรแมนติก เมือง ‘เอาก์สบูร์ก’ (Augsburg) การออกเสียงแบบเยอรมันนั้น ออกเสียงแตกต่างจากภาษาอังกฤษมาก ต้องเอามือบีบจมูกแล้วพูด เอาก์สบูร์ก เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสาม และเก่าแก่เป็นอันดับสองของประเทศเยอรมัน ตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำ Lech แม่น้ำที่ไหลมาจากเทือกเขาแอลป์ ลงสู่แม่น้ำดานูบ (Danube River)

 

แต่เราสองคนไม่ได้ชมเมืองกันมาก เพราะเอาก์สบูร์กมีสวนสวยที่ดึงดูดใจมากกว่าการชมเมือง

สวนพฤกษศาสตร์เอาก์สบูร์ก (The Augsburg Botanical Gardens) เป็นสวนที่มีเนื้อที่กว้างขวางมาก และไม่ค่อยมีคนมากนักคงเป็นเพราะตั้งอยู่นอกเมือง สวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้สะสมพรรณไม้กว่า 3100 ชนิด เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของคนรักต้นไม้ดอกไม้เลยทีเดียว และสวนก็มีชื่อเสียงจากสวนญี่ปุ่น และสวนกุหลาบ
 

ในสวนญี่ปุ่น กำลังมีคลาสสอนวาดรูปสีน้ำ นักเรียนแต่ละคนวาดรูปกันสวยมาก

 

การนั่งวาดรูปในสวนสวยนี้ ช่างเป็นการพักผ่อนกายและใจที่ดีเยี่ยมจริงๆ

 

อ้อยหวานขอคัดลอกบทความของตัวเอง ที่เขียนสาธยายสวนญี่ปุ่นในเว็ปjapantravel.comมาให้อ่านกันสั้นๆ หากต้องการอ่านแบบเต็มๆ พร้อมชมภาพสวนญี่ปุ่นแท้และดั้งเดิม ก็แวะไปชมได้ที่นี่ เรียนรู้องค์ประกอบของสวนญี่ปุ่น จากสวนคิโยะสุมิ กลางกรุงโตเกียว

องค์ประกอบที่สำคัญๆ ของสวนญี่ปุ่น

  • สวนญี่ปุ่นจะต้องมีน้ำ ไม่ว่าจะเป็นแค่น้ำในอ่างหินเล็กๆ หรือสระน้ำกว้างใหญ่ เมื่อสวนญี่ปุ่นต้องมีน้ำ

  • ในน้ำก็ต้องมีก้อนหิน มีสะพาน และแน่นอนต้องมีปลา

  • องค์ประกอบสำคัญของสวนญี่ปุ่นอีกสิ่งหนึ่ง โคมไฟหิน ถ้าไม่มีโคมไฟหิน ก็ไม่ใช่สวนญี่ปุ่น

  • และเรือนน้ำชา (tea house) หรืออาคารในสวน

  • ส่วนต้นไม้ในสวนที่ขาดไม่ได้คือ ต้นอะเซลเลีย ต้นโมะมิจิ (momiji) หรือเมเปิลญี่ปุ่น และต้นสนญี่ปุ่น

 

ส่วนสวนกุหลาบของสวนพฤกษศาสตร์เอาก์สบูร์กนั้น ก็สามารถทำให้หัวใจละลายได้เช่นกัน ในสวนเป็นแหล่งรวมของกุหลาบกว่า 280 สายพันธ์ และมีกันกว่าพันต้น

 

ใจละลาย

 

กุหลาบเลื้อยกอนี้ทั้งสูงใหญ่ และออกดอกกันอย่างอลังการ

 

กอที่อยู่ติดกันก็งามบริสุทธิ์

 

อ้อยหวานนั้นบินถลายังกับผีเสื้อถือกล้อง โฉบไปโน่นที นี่ที เก็บดอกไม้มาเต็มกล้อง เป็นร้อยๆ รูป

 

ไม่ใจละลาย ก็ให้มันรู้ไป

 

และไม่ใช่แต่ดอกกุหลาบเท่านั้น ที่ทำให้ใจละลาย สวนพฤกษศาสตร์เอาก์สบูร์ก ยังเก็บสะสมไม้ดอกหลากหลายชนิด อย่างเช่น สีส้มสุดสวยของดอกพริมโรสที่เข้ากันดีมากกับดอกไอริสสีม่วง

ที่นี่เขาจัดสวนกันอย่างพิถีพิถันไปทั่วทุกจุด

 

ดอกเดลฟีนเนียม (Delphinium) สีน้ำเงินแต้มขาว เป็นไม้ดอกที่ใช้ดึงดูดผีเสื้อและนกฮัมมิ่งเบิร์ด

 

ดอกเมาท์เทิล ลอเรล (mountain-laurel) หรือลอเรลภูเขา มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Kalmia latifolia อ้อยหวานเคยเอามาให้ชมแล้ว ดูได้ที่บล็อกนี้ให้ดอกไม้ปลอบใจเห็นดอกสวยจับใจอย่างนี้ อย่าเผลอไปดมก็แล้วกัน เจอครั้งแรกที่ญี่ปุ่น อ้อยหวานถลาไปดมเสียงเต็มปอด เพราะนึกว่าจะหอมมากเหมือนรูปสวย หมึนไปเลยละ

 

เจอเรเนียม สีม่วงเข้ม

 

ม่วงกับเหลืองตัดกันอย่างเฉียบขาด

 

โทนชมพูหวานแหววก็ไม่น้อยหน้า

 

ไม่ไปไหนแล้ว….. ฉันขออยู่ที่นี่

 

โปรดติดตาม ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ในตอนต่อไป

 

อ่าน ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอนที่แล้วได้ที่นี่

ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์

มุ่งหน้าสู่ภูเขา

วันฟ้าฉ่ำฝน

ขุมเขา สวนแอปเปิล และไร่องุ่น

ดุจเมืองในฝัน    

ตามหาโรมิโอและจูเลียต ที่..เวโรน่า

สูงสุดฟ้า แต่ล้อติดดิน

ท่ามกลางสายฝนสู่เมืองเดอะซาวน์ออฟมิวสิค

 

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

ขอบคุณค่ะ

อ้อยหวาน

 

มาร้อยมาลัยรัก (ที่ร้อนแรง) กันเถิด

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

Photo:

วันนี้ขอพักการปั่นเที่ยวไปสักบล็อกหนึ่ง แต่จะชวนเพื่อนๆ มาร้อยมาลัยรัก ให้รักอบอวลไปทั่วบ้านสวนพอเพียงกันเลยนะ เพราะเป็นมาลัยรักที่เผ็ดร้อน แสบทรวง

 

Photo: เนื่องด้วยคุณผู้ชายที่บ้านชอบปลูกพริก แล้วก็ดกกินกันไม่หวาดไม่ไหวทุกปี ไล่แจกใครก็ไม่มีใครเอา เพราะไม่มีใครกินเป็น ปีที่ผ่านๆ มา เราก็แค่ใส่ถุงแล้วโยนใส่ช่องน้ำแข็ง เก็บไว้กิน ตลอดปีก็ยังกินกันไม่หมด ปีนี้เราก็เลยแบ่งเอามาตากแห้งกันบ้าง และนี่คือที่มาของ ‘มาลัยรัก’ ในบล็อกนี้

 

Photo: Road side produce stand near Santa Fe, New Mexico

มาลัยพริก ที่ประเทศเม็กซิโกเขาเรียกกันว่า Chile Ristras ไปที่ไหนๆ ก็จะแขวนขายกัน จะแขวนโชว์ก็สวย ง่ายต่อการตากให้แห้ง เพราะจะแห้งกันทั่วถึงไม่ต้องกลับ แถมสะอาดด้วย อ้อยหวานเห็นที่ตากๆ กัน บางแห่งนี่ดูไม่ได้เลย ดูแล้วกินไม่ลง กองตากกันข้างถนนก็มี หมาหมูกาไก่เดินเยียบกันพล่านก็มี ส่วนมาลัยพริกนี้ตากในบ้านก็ได้ ตากนอกบ้านก็ดี ทำง่าย รวดเร็ว สนุก และสวยด้วย มาเร็ว มาทำ Chile Ristras หรือ มาลัยพริกกันดีกว่า…

ขอขอบคุณรูปภาพจากการท่องเที่ยวเม็กซิโก

 

Photo: เริ่มจากเก็บพริก ต้องตัดให้ได้ก้านยาวๆ นะจ้ะ จะบอกให้ เพราะก้านสั้นๆ มันร้อยไม้ได้ ล้างให้สะอาด แล้วผึ่งให้แห้ง ของอ้อยหวานนี่ ฝนเพิ่งตกลงมาล้างพริกให้เรียบร้อยตั้งแต่เมื่อคืน เช้ามาก็แห้งพอดี สะดวกเราเลย อ้อยหวานขอเอาวิดีโอของครูมาลงให้ดู อ้อยหวานเรียกว่าครูทุกคน เพราะเป็นคนให้ความรู้ แม้นว่าจะเป็นในเว็ปก็ตาม ในหนังสือก็ใช่

 

ขอขอบคุณมากๆ ค่ะ คุณครู

 

Photo: ตอนนี้นักเรียนก็ลงมือทำบ้าง นั่งทำบนพื้นครัวนี่แหละ แล้วหาไม้ค้ำสอดเชือกระหว่างโต๊ะ แต่วางให้ดีๆ นะ เพราะว่ามันหล่นใส่หัวอ้อยหวานมาแล้ว!

 

Photo: ง่ายมากๆ เลยละ เหมือนถักเชือก

อ้อ..ส่วนเชือก มีอะไร ก็ใช้อันนั้นแหละ แต่แข็งแรงหน่อยก็แล้วกัน เพราะต้องดึงให้แน่น สอดพริกไปเรื่อยๆ ครั้งละสามหรือสี่ดอก แล้วตวัดเชือกร้อยขึ้นมารัดให้แน่น

 

Photo:

เริ่มเป็นรักที่ร้อนแรง น่าจะเป็นของขวัญวันแห่งความรักก็ได้นะ แล้วให้ชื่อว่า 'รักสะใจ'พอพริกแห้งก็พอดีได้ใช้ตำน้ำพริกแกง ดึงมาที่ละดอก ความรักก็อยู่ไปนานแสนนาน

 

Photo:

เสร็จแล้ว!!! เอาไปแขวนตากแดด ตากลม ได้เลยค่ะ หรือแขวนไว้ชายคาบ้านก็ได้

 

Photo:

มีพริกแปลกอยู่นิดหน่อย เอามาแต่งเพิ่มสีสัน เผ็ดร้อน จะปนกันหลายๆ สี ใช้พริกหลายแบบ ก็สวยดี ใช้พริกสีเขียวแซมก็เก๋ ตามแต่จิตนาการ

อย่าลืมเอาไปทำกันนะค่ะ ขอบอกว่าง่ายมากๆ ใช้เชือกกล้วยก็ยังได้ ทำใช้เอง หรือทำขาย ทำแจก ทำเป็นของขวัญก็ได้ เด็กทำได้ ผู้ใหญ่ทำดี แต่ทำแล้วเอามาโชว์กันบ้างนะค่ะ อยากเห็นค่ะ

 

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

ขอบคุณค่ะ

อ้อยหวาน

 

ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอนปราสาทแห่งเทพนิยายกับเมืองในฝัน

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

จงเชื่อมั่นในความฝันที่เธอมี ..แล้วสักวันหนึ่ง

เส้นทางสายรุ้งจะทอดผ่านมา ให้เธอได้เดินข้าม

ไม่ว่าใจเธอจะโศกเศร้าเพียงใด

ตราบใดที่มีความเชื่อมั่น สักวันหนึ่ง ฝันที่เธอปรารถนาไว้จะเป็นจริง

Have faith in your dreams and someday

Your rainbow will come smiling through

No matter how your heart is grieving

If you keep on believing

The dream that you wish will come true

Walt Disney  

 

อ้อยหวานมีความเชื่อว่า ทุกผู้ทุกคนย่อมมีความใฝ่ฝันเป็นของตัวเอง ซึ่งจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ใจปรารถนา แต่จะมีใครสักกี่คนที่เชื่อมั่นในความฝันของตน ปีแล้ว ปีเล่า ผ่านความยากลำบาก ถูกผู้คนหัวเราะเยาะ บางครั้งก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นบ้า แต่เมื่อความฝันของเขาเหล่านั้นเป็นจริงขึ้นมาในสักวันหนึ่ง ผู้คนที่เคยปรามาสดูถูก กลับอ้าปากค้าง พูดไม่ออก ผู้คนทั่วไปในเวลาต่อมาก็ยกย่องสรรเสริญ

อ้อยหวานขอกล่าวถึงสองบุรุษที่มีความฝันอันยิ่งใหญ่ เป็นสองบุรุษต่างช่วงเวลา อยู่ห่างกันคนละทวีป แต่ทั้งสองได้พกพาเอาความฝันติดตัวกันคนละมากมาย

บุรุษแรกเจ้าของคำคมข้างบน วอลท์ ดิสนีย์ (Walt Disney) คงจะไม่ต้องกล่าวแนะนำมาก เพราะอ้อยหวานคิดว่า ไม่ว่าใครก็คงจะรู้จัก วอลท์ ดิสนีย์ ผู้สร้าง มิ๊กกี้ เม้าส หนูที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก และ ดิสนีย์แลนด์ สวนสนุกที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก สองที่สุดของโลกนี้มาจากความฝันที่เชื่อมั่นของวอลท์ ดิสนีย์

บุรุษที่สองที่ขอกล่าวถึงก็ไม่ยิ่งหย่อนในเรื่องความเชื่อมั่นในความฝันของตน จนมีคนกล่าวหาว่าพระองค์เป็นบ้า สติ สตัง ไม่ดี กษัตริย์ลุควิคที่ 2 แห่งรัฐบาวาเรีย (Ludwig II of Bavaria) หรือ ชื่อที่บางคนตั้งให้ The Fairy Tale King กษัตริย์แห่งเทพนิยาย (และเขาเหล่านั้นอาจจะหมายถึง กษัตริย์ฝันเฟื่อง) ผู้สร้างสามปราสาทสุดสวยแห่งบาวาเรีย และหนึ่งในสามนั้นก็คือ ปราสาทนอยชวานชไตน์ (Neuschwanstein) ปราสาทที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก

ทั้งสองบุรุษเกี่ยวเนื่องกันที่จุดๆ หนึ่ง กษัตริย์ลุควิคที่ 2 ทรงสร้างปราสาทแห่งเทพนิยายของจริง ปราสาทหลังใหญ่ที่ยืนเด่นบนไหล่เขาของเทือกเขาแอลป์ ส่วนวอลท์ ดิสนีย์ ก็สร้างปราสาทซินเดอเรลล่า ปราสาทแห่งโลกจำลองในดิสนีย์แลนด์ทั่วโลก และในหนังการ์ตูนหลายเรื่อง โดยใช้ปราสาทของกษัตริย์ลุควิคที่ 2 เป็นต้นแบบ

….ความฝันของคนผู้หนึ่งสามารถจุดประกายความฝันให้ผู้คนมากมาย

 

จากเมือง ‘เอาก์สบูร์ก’ (Augsburg)กึ่งกลางของเส้นทางสายโรแมนติก (the Romantic Road Cycle route) ไปสู่เมืองฟุสเซ่น (Fussen) ที่เป็นเมืองจุดปลายทาง เราใช้เวลาป้่นสามวัน เส้นทางเลาะเลียบแม่น้ำเลคช์ (Lech) ผ่านป่าเขา ลำเนาไพร ซึ่งอ้อยหวานขอยกย่องเลยว่าเยอรมันเป็นจ้าวแห่งโลกสีเขียวจริงๆ ทุกๆ วันจะต้องมีป่าทึบให้ได้ปั่นเข้าไปชื่นชม สูดดมกลิ่นหอมและอากาศพลังเขียว นึกถึงทีไร สุขใจอยู่ร่ำไป และขอบอกว่าเส้นทางสายนี้และหลายๆ สายในป่า อนุญาติเฉพาะเดินเท้าและจักรยานเท่านั้น

 

เส้นทางผ่านเมืองเล็กๆ และหมู่บ้านอันเงียบสงบมากมาย เงียบจริงๆ ไม่มีแม้แต่เสียงเห่าหอนของสัตว์เลี้ยงสี่ขา

 

หนึ่งในสองเมืองที่เราแวะค้างคืนในระหว่างทาง เมืองลันส์แบร์ก อัม เลคช์ (Landsberg am Lech) แปลตรงตัวว่า เมืองลันส์แบร์กแห่งแม่น้ำเลคช์ เมืองเล็กๆ ที่สวยโรแมนติค อาคารเก่าแก่แต่ละหลังถูกชุบชีวิตใหม่ด้วยสีสันสดสวย หลากสีแต่ก็เข้ากันมากๆ เก้าอี้โซฟาตรงกลางลานนั้นเป็นงานศิลป์สมัยใหม่ ตั้งไว้ให้เป็นจุดถ่ายรูป เด็กๆ ชอบกันมาก

 

เจอกันอีกแล้วเทือกเขาแอลป์เพื่อนเก่า กว่าจะมาถึงจุดนี้ ก็มีเข็นครกขึ้นเขากันหลายยก แต่วิวสวยสุดคุ้ม บางจุดทีเราผ่านนั้น วิวสวยมากมายดูราวกับภาพฝัน หรือเมืองในเทพนิยายเลยทีเดียว

 

เนินเขาและทุ่งหญ้าเขียวขจี ภาพที่เป็นตราสัญลักษณ์ หรือซิกเนเจอร์ของเทือกเขาแอลป์

 

อ้อยหวานคิดว่า เราได้ปีนเขาขึ้นมาสูงมากแล้วนะ แต่แหนคอขึ้นไปเจอภาพนี้ น้องวัวลอยฟ้า! ช่างเป็นชีวิตวัวที่ดีที่สุดในโลก แล้วก็เป็นวัวนักปีนเขากันด้วย เพราะตรงที่ฝูงวัวยืนกินหญ้ากันอยู่นั้น เป็นเนินเขาที่ชันมากๆ เกือบจะตั้งฉากเลยละ วิวบนนั้นคงจะงามเลิศ

 

พนักงานต้อนรับแห่งเทือกเขาแอลป์ มายืนต้อนรับกันอย่างอบอุ่น น่าเสียดายที่กลุ่มนี้ไม่มีระฆังแขวนคอ ไม่อย่างนั้นคงได้ฟังก๋องเก๊งเพราะๆ  น้องวัวคงจะคุ้นเคยกับจักรยาน เพราะเส้นทางสายนี้ฮิตติดอันดับความดัง เราพบกับนักปั่นเที่ยวมากมาย

 

เมืองฟุสเซ่น (Fussen) เมืองจุดปลายทางของเส้นทางสายโรแมนติก เป็นเมืองเล็กๆ ที่มีตึกรามบ้านช่อง อาคารเก่าแก่มากมาย แต่ละหลังทาสีกันสวยดุจเทพนิยายจริงๆ

 

ฟุสเซ่น เป็นเมืองเก่าแก่ ก่อตั้งขึ้นนับย้อนหลังไปถึงสมัยโรมัน นอกจากจะเป็นจุดปลายทางของเส้นทางสายโรแมนติกแล้ว เมืองฟุสเซ่นยังตั้งอยู่บนถนนสายที่เก่าแก่มากๆ ของอาณาจักรโรมันคือ ถนน Via Claudia Augusta ถนนสายการค้าสำคัญในสมัยโบราณ

 

ทำให้เมืองเล็กๆ แห่งนี้โดดเด่นยังกะดาวจรัสแสง มีบ้านสวยๆ ปราสาทงามๆ โบสถ์น้อยใหญ่

รูปข้างบนคือ St. Mang Basilica อายุกว่า 1100 ปี เป็นทั้งโบสถ์ และพระราชวังของพระผู้ใหญ่ในสมัยก่อน

 

แต่ที่ทำให้เมืองฟุสเซ่นโด่งดังทะลุฟ้าก็คือ ปราสาทนอยชวานชไตน์ ของกษัตริย์ลุควิคที่ 2 แห่งรัฐบาวาเรีย

ขอบคุณภาพจาก https://wall.alphacoders.com

อ้อยหวานเก็บรูปของปราสาทมามากมาย แต่มีเฉพาะรูปที่ถ่ายจากข้างล่างขึ้นไป รูปข้างบนคงจะถ่ายจากบนภูเขาลงมา สวยมากมายใช่ไหม?

 

ในฤดูหนาวก็ยิ่งดูเหมือนกับปราสาทในเทพนิยายมากขึ้น คนที่ชอบต่อภาพจิ๊กซอว์ หรือภาพตัวต่อ อาจจะเคยเห็นภาพปราสาทเช่นนี้มาก่อน

ขอบคุณภาพจาก https://wall.alphacoders.com

 

ปราสาทตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองฟุสเซ่นไปสี่กิโลเมตร เราปั่นจักรยานออกจากเมืองกันสบายๆ ไม่รีบร้อน ถือโอกาสกินลมชมวิวร้อยล้านโดยที่ไม่มีใครมาแย่ง จะเห็นได้ว่าบนเนินเขามีปราสาทอยู่สองหลัง หลังสีขาวคือปราสาทนอยชวานชไตน์ ส่วนหลังสีน้ำตาลคือปราสาทโฮเอินชวังเกา (Hohenschwangau) ซึ่งเป็นปราสาทที่สร้างขึ้นโดยพระบิดาของกษัตริย์ลุควิคที่ 2 และเป็นปราสาทที่พระองค์ใช้ชีวิตเติบโตในวัยเด็ก

 

ปราสาทโฮเอินชวังเกา (Hohenschwangau)

 

มองลงมาจากปราสาทโฮเอินชวังเกา จะเห็นได้ว่าที่จอดรถนั้นเต็มไปด้วยรถทัวร์ของนักท่องเที่ยว ที่นี่มีที่จอดรถหลายแห่ง และทุกแห่งก็แน่นขนัด ไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีฝูงชนมากมายขนาดไหน

 

กษัตริย์ลุควิคที่ 2 แห่งรัฐบาวาเรีย ภาพนี้พระองค์ยืนตระหง่านอยู่ในสวนป่า พื้นที่อันกว้างใหญ่ของทั้งสองปราสาท

อ้อยหวานขอคัดลอกประวัติโดยย่อที่สุดของพระองค์ ดังนี้ พระองค์ขึ้นครองราชบัลลังก์บาวาเรียเมื่อพระชันษาได้เพียง 18 ปึหลังจากที่พระบิดาสิ้นพระชนม์อย่างกระทันหัน ทรงขึ้นครองเมื่ออายุยังน้อย และทรงสิ้นพระชนม์เมื่ออายุน้อยเช่นกัน เมื่อพระองค์อายุได้ 40 ปี ทรงสิ้นพระชนม์อย่างลึกลับ หลังจากถูกปลดจากการเป็นกษัตริย์ ในข้อหาว่าพระองค์เสียสติเพียงไม่กี่วัน อีกทั้งพระองค์ก็มีโอกาสอาศัยอยู่ในปราสาทได้เพียงไม่กี่วันเช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย

 

ปราสาทนอยชวานชไตน์ ของกษัตริย์ลุควิคที่ 2 เขามีทัวร์ให้ชมภายในปราสาท แต่คงต้องสำรองที่ล่วงหน้า และเสียค่าเข้าชมแพงๆ อ้อยหวานเห็นคนเข้าแถวรออยู่เต็มลานของปราสาท ก็เริ่มใส่เกียร์หนีแล้ว ดูรูปในเน็ทเอาดีกว่า ไม่ต้องไปเบียดเสียดผู้คน

 

หนึ่งในหลายๆ ห้องของปราสาท ทุกห้องจะทาสีตกแต่งกันสุดๆ

ขอบคุณภาพจากวิกิพีเดีย

 

หนึ่งในหลายๆ ห้องของปราสาท

ขอบคุณภาพจากวิกิพีเดีย

 

วิวที่มองจากจุดชมวิวหน้าปราสาท

โปรดติดตาม ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ในตอนต่อไป

อ่าน ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอนที่แล้วได้ที่นี่

ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์

มุ่งหน้าสู่ภูเขา

วันฟ้าฉ่ำฝน

ขุมเขา สวนแอปเปิล และไร่องุ่น

ดุจเมืองในฝัน    

ตามหาโรมิโอและจูเลียต ที่..เวโรน่า

สูงสุดฟ้า แต่ล้อติดดิน

ท่ามกลางสายฝนสู่เมืองเดอะซาวน์ออฟมิวสิค

เติมความหวานบนเส้นทางสายโรแมนติก

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

 

ขอบคุณค่ะ

 

อ้อยหวาน

 

กราบทาบฝ่าพระบาท ส่งเสด็จถึงสวรรคาลัย

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

กราบทาบฝ่าพระบาท ส่งเสด็จถึงสวรรคาลัย
น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

In loving memories 

Thanks for all you've done
 

 

ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอนสุดทาง.. ที่จุดเริ่มต้น

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

วันนี้อ้อยหวานมาเล่าต่อทริปเที่ยวมาราธอน หลังจากที่ค้างคาอยู่เนิ่นนาน ในช่วงเวลาทำใจกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชาวไทย….

ทริปปั่นจักรยานสี่อาทิตย์ที่วกวนอยู่ในเทือกเขาแอลป์นี้ เราเริ่มต้นกันที่เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมันนี หลังจากสุดทางที่เมืองฟุสเซ่น (Fussen) และชื่นชมสุดยอดปราสาทแล้ว วันรุ่งขึ้นก็ถึงเวลาอำลา เราออกจากฟุสเซ่นท่ามกลางสายฝน เป็นอีกวันหนึ่งที่เราจะจดจำไปนานแสนนาน

 

ในบันทึกของอ้อยหวานเขียนไว้ว่า...

19-06-2016

ฟุสเซ่นสู่ทะเลสาบ Starnberger ระยะทาง 77 กิโลเมตร

ฝนตกตั้งแต่เช้าตรู่ และตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีท่าทีว่าจะซาลงหรือหยุดตก ที่นี่ไม่มีรถไฟที่จะไปยังจุดหมายปลายทางของเรา เราปั่นจักรยานออกไปท่ามกลางสายฝน หลังจากที่รั้งรออยู่จนสาย สิ่งที่โดดเด่นในวันนี้นอกจากสายฝนที่พากันหลั่งไหลมามากมายแล้ว ยังมีภูเขา เนินเขา และฝูงวัวอยู่มากมายอีกด้วย เสียงก๊องแก๊งของระฆังแขวนคอวัวขับกล่อมเป็นเพื่อนเราไปตลอดทาง ในวันนี้ฉันได้เรียนรู้สิ่งสำคัญๆ สองประการ ข้อแรกก็คือ พื้นที่แถวนี้ของเยอรมันนั้น ไม่มีที่ราบเรียบอยู่เลย เป็นเนินเขาขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา และช่างสวยงดงามเอามากๆ

ข้อสอง เราได้เรียนรู้ศักยภาพในตัวเราเอง ว่าเราสามารถปั่นจักรยานบนเส้นทางโหดๆ เส้นทางที่ขึ้นสูงริ่วและลงดิ่งอยู่ตลอดเวลา ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่หยุดหยั้ง ถ้าเรามุ่งมั่น เราก็ทำได้สำเร็จรุร่วงเป็นอย่างดี ขอบคุณที่ไม่มีรถไฟให้ขึ้น ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีทางรู้เลยว่า เราทำได้!และทำได้ดีด้วย

 

เส้นทางจักรยานวกผ่านปราสาทนอยชวานชไตน์ เลยได้ชมภาพปราสาทเป็นครั้งสุดท้ายท่ามกลางสายฝน อ้อยหวานหยุดเก็บภาพสวยๆ อย่างไม่กลัวกล้องพัง (ที่จริงก็กลัวเหมือนกัน แต่กลัวไม่ได้รู้สวยมากกว่า)

 

ทริปนี้มีกล้องอยู่ตัวเดียวคือกล้องของอ้อยหวาน เพราะคนที่ไปด้วยขี้เกียจถ่ายรูป อ้อยหวานส่งกล้องในมือให้คุณผู้ชาย ให้ปั่นไปไกลๆ แล้วหันมาเก็บรูปอ้อยหวานกับสายฝนและสายหมอก เพราะอยากได้ไว้เป็นที่ระลึก แล้วก็ได้ภาพนี้ ภาพคนปั่นจักรยานหัวใจเดียวกัน เปียกสนิทเช่นเดียวกัน แต่ใจยังสู้ นั่งดูรูปนี้ที่ไร ภาพของวันนั้นหวนกลับมาให้ชุ่มฉ่ำใจอยู่ร่ำไป

…..ความทรงจำดีๆ ไม่มีขาย ต้องออกไปลุยเอง

 

อบไอหมอก อาบสายฝน บนสองล้อ

ใครที่ไม่เคยมีประสบการณ์เยี่ยงนี้ ขอบอกว่าให้ลองดู แล้วจะลืมไม่ลง

(ปล. อยากจะบอกว่าตอนที่ออกทริปปั่นจักรยานลุยฝน ร่างกายแข็งแรงมากค่ะ แต่ตอนอยู่บ้านยุงไม่ได้ไต่ ไรไม่ได้ตอม กลับเป็นหวัดไม่สบายออกบ่อย)

 

เส้นทางขึ้นลงเนินเขาเขียวขจี ผ่านหมู่บ้านเล็กที่เงียบสงบ ยินแต่เสียงฝนตกเปาะแปะ เคล้าเสียงระฆังจากฝูงวัว แต่ละตัวไม่เห็นจะเดือดร้อนเลยกับสายฝน  

 

เราปั่นจากข้างบน เส้นทางวกวนเป็นผ้าพับลงมาถึงจุดที่อ้อยหวานยืนถ่ายรูป แล้วเบื้องหน้าถัดไปก็เหมือนเดิมคือวนกลับขึ้นเนินเขาอีกลูก เป็นเช่นนี้ตลอด 77 กิโลเมตร โอ้พระเจ้าช่วยกล้วยทอด!

 

ระหว่างทางเจอโบสถ์แห่งนี้ ยืนเด่นบนเนินเขา รอบๆ มีแต่เนินเขียว ไม่มีเมืองสักเมืองหนึ่งรอบๆ แต่มีรถทัวร์นักท่องเที่ยวจอดอยู่เต็ม อย่างนี้ต้องแวะกันหน่อย

 

ภายในโบสถ์นั้นงดงามตระการตา ไม่ใช่โบสถ์ธรรมดาๆ เสียด้วย เพราะเป็นโบสถ์มรดกโลกที่มีชื่อว่า “โบสถ์การจาริกแสวงบุญแห่งวีส ( Pilgrimage Church of Wies)”

ประวัติของโบสถ์การจาริกแสวงบุญแห่งวีส

ในปี ค.ศ. 1738 ปรากฏว่ามีคนเห็นน้ำพระเนตรหลั่งออกจากพระเนตรแกะสลักไม้พระเยซูบนไม้กางเขน เรื่องเล่าปาฏิหาริย์ในครั้งนั้น เป็นเหตุให้มีนักแสวงบุญเดินทางไปจารึกบุญ เยี่ยมชม และอธิษฐานขอพรจากรูปแกะสลักพระเยซูกันอย่างมากมาย ด้วยความเชื่อที่ว่ารูปแกะสลักนี้สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ ต่อมาในปีค.ศ. 1740 ได้มีการสร้างโบสถ์ขึ้น เพื่อเป็นที่ประดิษฐานรูปแกะสลักนี้

โบสถ์การจาริกแสวงบุญแห่งวีส ได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ในปี ค.ศ. 1983

ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย

เราไม่ได้เดินเข้าไปชมไม้กางเขนกันใกล้ๆ เพราะคนเยอะมาก ถ่ายรูปออกมาเห็นแต่หัวคน

 

จุดหมายปลายทางของวันนี้ ทะเลสาบ Starnberger เราแวะค้างคืนกันที่รีสอร์ทริมทะเลสาบ

 

เช้าวันต่อมาก็ได้ปั่นจักรยานไปบนเส้นทางเลียบทะเลสาบ มุ่งหน้าขึ้นเหนือสู่เมืองมิวนิค

 

ทะเลสาบ Starnberger ที่แสนจะงดงาม และเป็นสถานที่ที่มีคนพบพระศพของกษัตริย์ลุควิคที่ 2 แห่งรัฐบาวาเรีย ผู้สร้างปราสาทนอยชวานชไตน์ (Neuschwanstein) ปราสาทที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก

 

สนามบินมิวนิคอยู่ห่างจากเมืองมิวนิคถึง 40 กิโลเมตร ก่อนถึงมิวนิคเราจึงตัดสินใจขึ้นรถไฟเลยไปยังเมืองที่อยู่ใกล้สนามบิน วันรุ่งขึ้นจะได้เดินทางไปที่สนามบินได้อย่างสะดวกสบาย กลายเป็นว่าเมือง Freising นี้ เป็นเมืองที่เซอร์ไพร์สเรามาก มีเมืองเก่าที่มีอาคารและบ้านสวยๆ และที่โดนใจคนรักดอกไม้ก็คือ   มีกุหลาบบานสะพรั่งมายืนต้อนรับคนไกลอย่างคับคั่ง

 

ไม่ได้โม้เลยนะนี่ งามจริงๆ เจ้ากุหลาบกอนี้ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปไกลเลยทีเดียว

 

เดินชมบ้านชมเมืองไปตามซอกซอยแคบๆ บนพื้นถนนปูหินแบบโบราณ และที่สำคัญคือมีนักท่องเที่ยวน้อยมาก

 

นั่นก็สวย

 

นี่ก็งาม

 

เมืองเล็กๆ น่ารัก สวยงาม สะอาดตาจริงๆ

 

เหมือนเดินชมสวนส่วนตัว

 

เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากทานอาหารเช้าแล้ว เราก็อำลาเมือง Freising ขึ้นชื่อว่าเยอรมันก็ต้องนี่เลย เส้นทางจักรยานตัดตรงถึงหน้าประตูอาคารสนามบิน ไม่ต้องง้อเท็กซี่กันเลยละงานนี้ ปั่นไปชิวๆ 12 กิโล ไปถึงก็เริ่มแพ็คของ เก็บจักรยานใส่กระเป๋า แล้วเช็คอินขึ้นเครื่อง สะดวกมากมาย

ทริปเทือกเขาแอลป์ทริปนี้เป็นอีกทริปหนึ่งที่ประทับใจอ้อยหวานมาก (จนอยากบอกต่อ) ความงามของเทือกเขาเดียวกัน แต่มีความแตกต่างทั้งทัศนียภาพ สถาปัตยกรรม ประเพณี และวัฒนธรรม ขอจบ ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ไว้ที่บล็อกนี้

ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันจนจบ

ขอบคุณน้องโสทรที่ให้โอกาสอ้อยหวานบันทึกความทรงจำ และบอกเล่าเรื่องราวแก่เพื่อนๆ

ขอบคุณผู้ร่วมทางปั่นและทางชีวิต ที่ไปไหนก็ไปกัน เนินเขาสูง สายฝนกระหน่ำ ก็ไม่เคยเสียกำลังใจ

อ่าน ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอนที่แล้วได้ที่นี่

ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์

มุ่งหน้าสู่ภูเขา

วันฟ้าฉ่ำฝน

ขุมเขา สวนแอปเปิล และไร่องุ่น

ดุจเมืองในฝัน    

ตามหาโรมิโอและจูเลียต ที่..เวโรน่า

สูงสุดฟ้า แต่ล้อติดดิน

ท่ามกลางสายฝนสู่เมืองเดอะซาวน์ออฟมิวสิค

เติมความหวานบนเส้นทางสายโรแมนติก

ปราสาทแห่งเทพนิยายกับเมืองในฝัน

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

ขอบคุณค่ะ

อ้อยหวาน

เปิดกรุภาพถ่ายเก่า พาไปชมเมืองฟ้าอมร 1

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

วันนี้อ้อยหวานมาชวนไปไหว้พระและเตร็ดเตร่เที่ยวชมเมืองกรุงกันค่ะ แม้รูปภาพในบล็อคนี้จะเก่าค้างคามาเกือบปี คือถ่ายเก็บไว้ตั้งแต่กลับเมืองไทยเมื่อปลายปีที่แล้ว แต่อ้อยหวานถือคติ ‘มาสาย..ดีกว่าไม่มาเลย’

บล็อกชุดเที่ยวเมืองฟ้าอมรนี้ เราจะไม่ได้ปั่นจักรยานเที่ยว (คงจะรู้รู้กันว่าทำไม) แต่เราจะผจญภัยด้วยการโบกรถตุ๊กตุ๊กกัน

.. เตรียมพร้อม ตั้งท่า ไปเราไป ไปชมเมืองหลวงกัน

 

วัดแรกเลย วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของ พระพุทธรูปทองคำสุโขทัยไตรมิตร หรือ หลวงพ่อทองคำ

อ้อยหวานขอคัดลอกรายละเอียดระวัติของ หลวงพ่อทองคำ จากวิกิพิเดียมาให้อ่านพร้อมกัน

พระสุโขทัยไตรมิตรเป็นพระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก และได้รับการบันทึกในหนังสือบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ พระพุทธรูปทองคำองค์นี้มีหน้าตั้งกว้าง 3.01 เมตร สูง 3.91 เมตร องค์พระสามารถถอดได้ 9 องค์ จากฐานองค์พระขึ้นไปเนื้อทองบริสุทธิ์ 40% พระพักตร์มีเนื้อทอง 80% ส่วนพระเกศมีน้ำหนัก 45 กิโลกรัม เป็นเนื้อทองบริสุทธิ์ 99.99%

สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยสุโขทัย ปางมารวิชัย เข้าใจว่า เดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้โปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ไปอัญเชิญพระพุทธรูปมาจากเมืองเหนือเพื่อนำมาประดิษฐานยังวัดสำคัญ พระพุทธรูปที่เชิญมามีจำนวนมาก ทำให้ดูแลไม่ทั่วถึง ขุนนางผู้หนึ่งจึงแอบเอาปูนไล้พระพุทธรูปทองคำแล้วนำมาไว้ยังวัดที่ตนสร้าง จนได้อัญเชิญมาไว้ที่วัดพระยาไกร (วัดโชติการาม) ต่อมาบริษัท อี๊สต์เอเชียติ๊ก ได้ขอเช่าที่วัด (ซึ่งขณะนั้นเป็นวัดร้างแล้ว) เป็นโรงเลื่อยจักร จึงได้อัญเชิญไว้ที่ข้างพระเจดีย์และปลูกเพิงสังกะสีมุงเป็นหลังคากั้นไว้ อย่างหยาบ ๆ หลังจากนั้นเป็นเวลาเกือบ 20 ปี เมื่อพระอุโบสถและพระวิหารหลังใหม่สร้างเสร็จจึงได้อัญเชิญขึ้นประดิษฐาน แต่ในระหว่างการเคลื่อนย้ายปูนที่หุ้มองค์พระกระเทาะออก จึงทำให้เห็นองค์พระข้างในเป็นทองคำ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2498

พอย่างเข้าปลายปี 2550 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีการสร้างพระมหามณฑป พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 แทนพระพระวิหารองค์เดิม

ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย

 

ไหว้พระกันแล้ว ทีนี้ก็เดินกลับลงมาที่ชั้นสามของพระมหามณฑป ที่เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์วัดไตรมิตร ซึ่งอ้อยหวานชื่นชมว่าทำได้ดีมากๆ มีการจัดแสดงและให้ข้อมูลต่างๆ ตามมาตรฐานสากลเลยทีเดียว อธิบายละเอียดลออทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ขอชื่นชมด้วยใจจริง ใครแวะไปเที่ยวเมืองหลวง ต้องไม่พลาดชม ยิ่งถ้าพาเด็กๆ ไปด้วยก็สมควรไปชม

****คนไทยเข้าชมฟรี ต่างชาติ 140 บาท

 

ภายในพิพิธภัณฑ์บอกเล่าความมาของพระพุทธรูปทองคำ และให้รายละเอียดอย่างครบถ้วน ตั้งแต่กรรมวิธีการทำแม่พิมพ์ การหล่อพระ ทุกขั้นตอน

 

หุ่นเล่าเรื่องการอัญเชิญองค์พระ มีแสง สี เสียง ประกอบการเล่าเรื่อง

 

อัดแน่นด้วยข้อมูล และสนุกด้วย

 

ส่วนชั้นสองก็เป็นที่ตั้งของ ศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวของชุมชนจีนเยาวราชและสำเพ็ง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

 

ร้านค้าคนจีนโบราณในสำเพ็ง

 

บอกเล่าเรื่องราวอย่างละเอียดลออ ตั้งแต่การเดินทางของคนจีนบนเรือกลไฟ จนถึงเข้าสู่และเติบใหญ่ใต้ร่มพระบารมี

 

โมเดลจำลองย่านเยาวราชในสมัยก่อน

เด็กๆ มาทัศนศึกษากัน สนุกสนาน และให้ความรู้เพียบ

 

มีการจัดแสดงหุ่นตัวเล็กๆ น่ารักแบบนี้มากมาย เช่น ฉากร้านขายขนมจันอับ

จับอับเป็นชื่อกล่องใส่ขนมชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ชื่อขนม หมายถึงกล่องใส่ขนมแห้งของจีน เอาไว้ถวายหรือไหว้เจ้าจับอับ เพี้ยนมาจากภาษาจีนฮกเกี้ยน ว่า จั๊นอับ ส่วนขนมเรียกว่า แต้เหลี้ยว

ในประเทศไทยสามารถพบจันอับได้ 2 ชนิดคือ จันอับแบบแต่จิ๋ว หรือ กวางตุ้ง และ จันอับแบบฮกเกี้ยน

  • จันอับแบบฮกเกี้ยนจะมีเครื่องประกอบทั้งหมด 8 ชนิด แต่ละชนิดจะเป็นขนมจันอับแบบที่แต้จิ๋วไม่มี ยกเว้นฟักเชื่อม จันอับแบบฮกเกี้ยนหาทานได้ยากมาก พบได้เฉพาะที่ จังหวัดภูเก็ต เท่านั้น

  • จันอับแบบกวางตุ้งหรือ แต้จิ๋ว โดยรวมมีเครื่องประกอบทั้งหมด ประมาณ 5 ชนิดหลัก เป็นที่นิยมมาก

ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย

 

ประวัติร้านขายขนมจันอับในพิพิธภัณฑ์ ให้ความรู้อย่างสมบูรณ์และแตกฉาน

 

อ้อยหวานขอลงภาพตัวอย่างของหลายๆ นิทัศการที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์

ร้านขายทอง

 

และประวัติ์ความเป็นมาของค่านิยมทอง

 

ก่อนลาจาก อ้อยหวานไปเจอกล้วยกอใหญ่ตรงหน้าพระมหามณฑป

 

กล้วยร้อยหวี หรือกล้วยงวงช้างแห่งวัดไตรมิตร

 

ที่นี้ก็ถึงเวลาไปชมเยาวราชของจริงกันบ้าง

 

ท้องถนนเยาวราชในยามเช้า

 

มั่งคั่ง ร่ำรวย โชคดีมีสุข

 

มีกิน มีใช้ อุดมสมบูรณ์ พูนสุข

นี่แหละถิ่นไทย อยู่ที่ไหนๆ ก็คิดถังจัง

 

โปรดติดตาม เปิดกรุภาพถ่ายเก่า พาไปชมเมืองฟ้าอมร ในตอนต่อไป

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

ขอบคุณค่ะ

อ้อยหวาน

 

คุยเฟื่องเรื่อง ‘พริก’

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 
Keywords: 

ห่างหายไปเนิ่นนาน คงต้องโทษอาการ ‘หมดไฟ’ หรือหมดมุขที่จะเขียน เลียวหน้าดูหลัง โอ้..อ้อยหวานเขียนอยู่ตรงนี้ ที่ บ้านสวนพอเพียง มาเนิ่นนานหลายปีแล้วนะ เบื่อ (อ่าน) กันบ้างไหมเอ่ย! อย่ากระนั้นเลย ก่อนที่เชื้อไฟจะดับมอด ขอลองเติมเชื้อเพลิงอีกสักนิด ด้วยความเผ็ดร้อนของน้องพริก

คิดถึงจึงมาหา.. ขอเผ็ด..และ..แสบ อีกสักครั้งจากอ้อยหวาน

 

พริก ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า chili pepper นั้นมีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Capsicum annuum  เป็นพืชในวงศ์ Solanaceae สกุล Capsicum มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ แต่วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ได้จำเพาะเจาะจงลงไปเลยว่ามาจากเม็กซิโก และได้แพร่หลายไปพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลกหลังจากที่ประเทศสเปนและโปรตุเกสได้เดินเรือสมุทธออกไปค้นพบดินแดนใหม่แห่งนี้ ในศตวรรษที่ 15

 

ส่วนในทวีปเอเชียนั้นน้องพริกมาเผยโฉมเปิดตัวประมาณศตวรรคที่ 16 เธอมาพร้อมกับเรือของชาวโปรตุเกส มาถึงเมืองไทยเธอก็ดังเป็นพลุแตกครอบครองใจและถูกปากของชาวไทยเสียจนหมดสิ้น เผลอๆ คนที่ไม่รู้เรื่องราวในอดีต อาจจะนึกว่าเธอมีถิ่นฐานในเมืองไทยมาตั้งแต่เกิด

 

คำว่า annuum มาจากภาษาละตินมีความหมายว่า “annual” หรือ ปี หรือ ล้มลุก แต่จริงๆ แล้วพริกไม่ได้เป็นพืชล้มลุก แต่สามารถขึ้นเติบโตได้หลายปี

พริกมีดอกเดี่ยว สีขาวหม่น หรือบางสายพันธ์จะมีสีม่วงจางๆ และสามารถเติบโตได้สูงถึง 60 ซม.

พริกได้เป็นอาหารของชาวอเมริกากลางและใต้มาตั้งแต่ 7500 ปีก่อนคริสตศักราช และไม่นานมานี้มีการขุดพบเครื่องปั้นดินเผาอายุกว่า 6000 ปี ในประเทศเม็กซิโกที่มีล่องรอยของพริกปรากฏอยู่  

 

คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักสำรวจและนักเดินเรือชาวเสปนผู้ค้นพบทวีปอเมริกา และอาจจะเป็นชาวยุโรบคนแรกที่มาพบเจอกับน้องพริก เจอปุ๊บ ชิมป๊บ คุณเธอก็ตั้งชื่อเรียกพริกน้องใหม่ว่า เปปเปอร์ (pepper) เพราะมีรสชาติคล้ายกับ pepper (Piper nigrum) หรือพริกไทยที่ฝรั่งชาติยุโรบรู้จักกันดี ทั้งๆ ที่เป็นพืชคนละชนิดกันเลย ทำให้ชื่อมาฟ้องกันกับพริกไทย (pepper) ต่อมาก็มีการใส่ชื่อ ชิลี่ ลงหน้า เปปเปอร์ กลายมาเป็น chili pepper

 

พริกอาจจะเปรียบได้กับมนุษย์ที่มีหลายเชื้อชาติ หลายเผ่าพันธ์ หลายรูปร่าง หลากสีสัน จนไม่มีใครรู้ว่าในโลกนี้มีพริกกี่ชนิดกันแน่ เอาอย่างง่ายที่สุดปวดหัวน้อยที่สุด ก็คือการแบ่งพริกออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้สามกลุ่ม คือ พริกระฆัง (bell pepper) พริกหวานหรือพริกหยวก (sweet peppers) และพริกเผ็ด (hot peppers) และบางครั้งบางกลุ่มก็รวมเอาพริกระฆัง (bell pepper) และพริกหวานหรือพริกหยวก (sweet peppers) เข้ากลุ่มเดียวกัน ยิ่งง่ายกันไปใหญ่

 

มาตราวัดความร้อนแรงหรือความเผ็ดของพริกคือ Scoville heat units หรือตัวย่อว่า SHU กรรมวิธีวัดมีมาอย่างไรก็ต้องไปหาอ่านเอาเองได้ ที่นี่

เพราะมันค่อนข้างจะยุ่งยากซับซ้อน เราๆ ทั่วไปรู้แล้วปวดหัวเปล่าๆ ปล่อยให้นักวิทยาศาสตร์เขาจัดการกันเองดีกว่า

ตัวอย่างค่า SHU ความร้อนแรงของพริกต่างๆ ค่าตัวเลขยิ่งสูงขึ้นความเผ็ดร้อนก็ยิ่งมากขึ้น

พริกระฆัง (bell pepper)   =   0 SHU

พริก New Mexico green   = 70,000 SHU

พริกเฟรสโน่ (Fresno) และพริกจาลาปีโน่ (Jalapeño)   = 3,500-10,000 SHU

พริก Cayenne และพริก Serenade =30,000-50,000 SHU

พริกพิริ พิริ (Piri piri)                     =50,000-100,000 SHU

พริกฮาบานีโร (Habanero) และพริกตานก (Birds Eye) =100,000–350,000 SHU

พริกนากา (Naga)            =   855,000-2,200,000 SHU

พริกขี้หนูของเมืองไทยก็คงจะอยู่ในระดับพริกตานก (Birds Eye)

 

ที่นี้ก็มาถึงพริกที่เผ็ดที่สุดในโลกถึงกับเข้าทะเบียนในหนังสือบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ หรือ กินเนสส์บุ๊ค พริกแคโรไลน่า รีฟเปอร์ (Carolina Reaper) แห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีค่าความร้อนแรงถึง 2.2 ล้าน SHU

...โอ้แม่เจ้า เธอเร่าร้อนจริงๆ แค่ดูรูปก็รู้ว่าเธอแน่มาก กินเข้าไปแล้วอาจจะงิกงอเหมือนเธอก็เป็นไปได้

พริกคาโรลิน่า รีฟเปอร์ ถือกำเนิดในที่เมืองร็อค ฮิลล์, เซาท์ แคโรไลน่า สหรัฐอเมริกา

 

เมื่อมีพริกที่เผ็ดที่สุดในโลก ก็ต้องมีคนชนะเลิศได้ตำแหน่งคนกินพริกที่เผ็ดที่สุดในโลก การแข่งขันนี้มีขึ้นในวันที่ 24 เมษายน 2016 นี้เอง ในงาน New York City Hot Sauce Expo หรือมหกรรมซอสพริกแห่งเมืองนิวยอร์ก ที่จัดขึ้นที่บรู๊คลิน (Brooklyn) นิวยอร์ก คุณ Wayne Algenio เธอกินพริกแคโรไลน่า รีฟเปอร์ ไป 22 ดอก ภายในระยะเวลา 60 วินาที (และยังมีชีวิตอยู่!!!)

 

ขอจบเรื่องพริกๆ ไว้เพียงนี้

I would like to Thanks everyone for all the resources for this blog. Thank you.

 

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์ด้านล่างค่ะ

 

http://www.kew.org/science-conservation/plants-fungi/capsicum-annuum-chilli-pepper

https://en.wikipedia.org/wiki/Carolina_Reaper

https://en.wikipedia.org/wiki/Capsicum_annuum

https://en.wikipedia.org/wiki/Chili_pepper

http://www.sheknows.com/food-and-recipes/articles/805359/types-of-hot-peppers

http://www.epicurious.com/archive/seasonalcooking/farmtotable/visualguidepeppers

http://www.chowhound.com/food-news/55198/know-your-peppers/

https://www.cayennediane.com/big-list-of-hot-peppers/

https://shaanthz.wordpress.com/2012/03/20/stuffed-sweet-peppers/

 

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

ขอบคุณค่ะ

อ้อยหวาน

 


ปีใหม่นี้ขอให้เยือกเย็นเป็นสุข

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

สวัสดีปีใหม่ สวัสดีปีไก่ เรื่องดี เรื่องร้ายของปีก่อนไม่ต้องดองหรือแช่แข็งเอาไว้ดู มาเริ่มปีใหม่ด้วยความขาวบริสุทธิ์ บวกความเย็นสดชื่นไปจนถึงขั่วหัวใจ ไล่ความร้อนรนที่เคยเผาใจ ด้วยความสดใสของพายุหิมะ... เอย

 

เช้าวันนี้มีหิมะตกหนัก ทำให้อ้อยหวานสุขใจยิ่งนัก หิมะสดใหม่นี้มันสวยบริสุทธิ์จริงๆ และสำหรับคนที่ชอบเล่นสกี เห็นภาพหิมะสีขาวกองใหญ่ทำให้ใจเต้นระรัว ถ้าไม่มีรถมากวาดหิมะ ก็อาจจะเล่นสกีบนถนนหน้าบ้านเสียเลย

 

ซ้ายก็หิมะ ขวาก็หิมะ ส่วนรถคันที่จอดข้างถนนนั้น กว่าจะออกไปได้คงต้องขุดตัวเองออกมา เพราะปรกติแล้วในวันที่มีหิมะตกเขาจะห้ามจอดรถข้างถนน เพื่อให้รถกวาดหิมะทำงานได้สะดวก ถ้ามีรถมาจอดขวางก็จะทำให้รถกวาดหิมะต้องขับอ้อม และกวาดหิมะออกมากั้นกลายเป็นกำแพง

 

กิ่งต้นโอ็คพราวพร่างไปด้วยหิมะ แต่หิมะจะอยู่กันบนกิ่งไม้ได้ไม่นาน เพราะเดี่ยวมีแดดก็จะละลายกันหมด

 

หน้าบ้านของอ้อยหวาน แวะผ่านมาอย่าลืมเคาะประตูทักทายกันนะคะ

 

ต้นไฮเดรนเยียหน้าบ้าน มีดอกหิมะเบ่งบานกันเต็ม

 

ส่วนต้นไลเล็คข้างบ้านก็ออกดอกหิมะกันเต็มเช่นกัน

 

น้ำแข็งไสสักแก้วไหมคะ? อ้อยหวานหยิบกินออกบ่อยๆ แต่เลือกเอาที่สูงๆ นะ

 

แต่สวนในบ้านยังเขียวขจี ต้นเสาวรสทำหน้าที่เป็นม่านสีเขียวสดใส

 

ในและนอก

ไม่ว่าเขียวหรือขาว หรือ แดง เหลือง ฟ้า ..ดำ ทุกอย่างอยู่ที่ใจเรา หากใจเป็นสุขไม่ว่ามีสีอะไรก็สดใส..สุขใจ

สวัสดีปีไก่ค่ะ

 

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

 

ขอบคุณค่ะ

 

อ้อยหวาน

 

ก้าวเท้าเดิน..ตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

Photo:

เพราะว่าชีวิตคือการเดินทาง…

ฉันจึงแพคกระเป๋า โผบินข้ามขอบฟ้า ก้าวเท้าเดินตามเวลา

 

Photo:

เพราะว่าชีวิตคือการเดินทาง…

ฉันจึงคว้ากระเป๋าใบใหญ่ ที่จุเต็มไปด้วยความรักและความฝัน

 

Photo:

เพราะว่าชีวิตคือการเดินทาง…

ฉันจึงก้าวเท้า..เดินตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ ดั้นด้นไป

...เพื่อพบเธอ

 

Photo:

ห่างเหินจากการเขียนบล็อกไปหลายเดือน กลับมาคราวนี้ มาชวนเพื่อนๆ ก้าวเท้าเดินทางกันอีกครั้ง กลับบ้านคราวนี้อ้อยหวานไม่ไปไหนไกล เพราะตั้งใจ ไปนั่งแช่ นั่งคุย ทานข้าว กับพ่อแม่ และน้องๆ ที่บ้านเกิดเมืองคอน เมืองคนใจดี

 

Photo:

แต่..ขึ้นชื่อว่า อ้อยหวาน ก็คงจะไม่ไกลห่างจากคำว่า ..จักรยาน..และ ดอกไม้ เพราะเป็นคนนิยมสองล้อที่ต้องขับเคลื่อนด้วยสองเท้าตัวเอง และรักดอกไม้เป็นชีวิตจิตใจเช่นกัน

 

Photo:

บล็อกซีรี่ยร์ “ก้าวเท้าเดิน..ตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ” จึงถือกำเนิดขึ้น อาจจะเป็นการก้าวไปอย่างช้าๆ หรือพุ่งพรวดพราดยังกับจักรยานลงเขา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับไฟ และแรงบันดาลใจในการเขียนบล็อก อ้อยหวานเขียนบล็อกอยู่ที่บ้านสวนพอเพียงมาช้านาน แรงบันดาลใจคงจะหดหายไปบ้าง แต่แรงคิดถึงและผูกพันยังไม่หายไปไหน

 

Photo:

บล็อกซีรี่ยร์นี้อาจจะสะเปะสะปะไปนิดหน่อย เพราะคิดว่าจะทำอย่างใจอยาก คืออยากเล่าอะไร ตอนไหน ช่วงเวลาใด ก็เขียนไป อาจจะไม่ปะติด ปะต่อกัน เพราะทำตาม..ตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ

แต่ขอเกริ่นบอกไว้สักนิดว่าสาว (ที่ไม่น้อย) คนนี้ ได้ย่างกรายไปไหนบ้าง นอกจากเมืองคอนบ้านเกิด

 

Photo:

หลังจากกินๆ นอนๆ อยู่กับบ้านมาหลายอาทิตย์ เมื่อเพื่อนร่วมทางของอ้อยหวานเดินทางมาถึงเมืองไทย ทริปปั่นจักรยานสั้นๆ ก็ถือกำเนิดขึ้น

 

Photo:

ไม่ใกล้ไม่ไกล ปักษ์ใต้บ้านเรานี่เอง

..โอ่โอ ปักษ์ใต้บ้านเรา

แม่น้ำ ภูเขา ทะเลกว้างไกล

อย่าไปไหน กลับใต้บ้านเรา...

เสียงเพลงเก่าแก่ของวงแฮมเมอร์ แว่วมาให้ได้ยินไปเถิดไป ไปปั่นจักรยานรอบทะเลสาบสงขลา กันเถอะ

 

Photo:

นอกจากนี้ยังมีสถานที่อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งผูกพันกับอ้อยหวานมานานหลายปีระหว่างทางกลับบ้านที่แคนนาดา ก็ต้องแวะเยี่ยมกันหน่อยนึง เพราะอ้อยหวานมีนัดไว้กับหัวใจ

 

Photo:

มีนัดกับเธอ..ดอกซากุระ

แล้วเธอก็มาตามนัด พร้อมชวนเพื่อนๆ มาเป็นกองทัพ นัดกันแต่งตัวสีชมพูหวาน ช่างงามสุดหัวใจเสียจริงๆ

 

Photo:

สองปีที่แล้ว อ้อยหวานเจอเธอที่คุมะโมะโตะยังติดใจไม่ลืมเลือน และได้วาดหวังไว้ว่า.. สักวันหนื่งคงจะได้พบเจอกับเธออีก

สองอาทิตย์ที่ผ่านมา ก็ได้ชื่นชมเธอเสียเต็มตาและเต็มหัวใจ กลับมาถึงบ้านหลายวันแล้ว ก็ยังหลับฝันถึงแต่เธอ!

 

Photo:

ขอหวานอีกสักครั้ง…

และถือโอกาสขอบคุณผู้ร่วมทางเที่ยว..และทางชีวิต มาตลอดกว่า 30 ปี

Tom..

Thank you for a good trip and good companionship. Happy 30th Anniversary!

 

โปรดติดตามอ้อยหวานเล่าเรื่อง “ก้าวเท้าเดิน..ตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ” ในตอนต่อไป

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

ขอบคุณค่ะ

 

อ้อยหวาน

 

ก้าวเท้าเดิน..ตามรอยเวลา

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

Photo:

นครศรีธรรมราช บ้านเกิดของอ้อยหวาน แม้จะเป็นเด็กที่จากบ้านไปเรียนหนังสือที่เมืองกรุงตั้งแต่เล็กๆ แต่นครก็ยังเป็นสถานที่ที่อ้อยหวานเรียกว่าบ้าน

บ้านในภาษาอังกฤษมีใช้อยู่สองคำ คือ เฮ้าส์ (house) และ โฮม (home) แปลง่ายๆ ได้ว่า เฮ้าส์ (house) คือบ้านที่อยู่อาศัย โฮม (home) คือ บ้านใจ ตามคำคมยอดนิยมของฝรั่งที่ว่า "Home Is Where Your Heart Is"

อ้อยหวานสามารถเรียกนครศรีฯ ว่า มาย โฮม ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ เป็นบ้านใจที่มีพ่อแม่รออยู่

ตอนเด็กๆ เวลานั่งรถไฟกลับบ้านซึ่งใช้เวลายาวนานมาก ออกจากกรุงเทพตอนบ่าย มาถึงนครเกือบเที่ยงของวันถัดมา เมื่อรถไฟวิ่งผ่านวัดพระธาตุในระยะไกล หัวใจน้อยๆ พองโต

..อา..ถึงบ้านแล้ว..  น้ำตาเอ่อล้นท่วมสองตา

ใจผูกพันไม่เคยเลือน กลับบ้านทุกคราก็ต้องแวะไปเยือน คราวนี้อยู่บ้านนานหน่อย ก็ไปบ่อย ปั่นจักรยานไปแต่เช้า ไปนั่งเงียบๆ ชมพระธาตุ ดูใบไม้ นับเม็ดทราย ชมนก ชมไม้ บ้างก็สวดมนต์ ไปกี่ครั้ง กี่ครั้ง องค์พระธาตุก็มีโครงไม้ไผ่ที่หุ้มมาเกือบสองปี จนวันสุดท้ายที่ปั่นจักรยานออกไปชม อ้อยหวานก็ต้องร้องว้าววว พระธาตุสวยจัง โครงไม้ได้อันตรธาน หายไปจนหมดสิ้น เหลือแต่องค์พระธาตุอันงดงาม  แล้วฝนก็ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทำให้เก็บภาพสวยมาได้ภาพเดียว คือภาพในบล็อกที่แล้วสามสี่วันมานี้ อ้อยหวานเกิดอาการคิดถึงบ้านขึ้นมา เลยได้นั่งวาดภาพสีน้ำตามแบบฉบับของอ้อยหวาน คือแบบหวานเย็น รูปหนึ่งใช้เวลาหลายวัน พระธาตุในดวงใจอ้อยหวาน ไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหนก็รำลึกถึงอยู่เสมอ

 

Photo:

มีอยู่เช้าหนึ่ง อ้อยหวานแวะไปที่พระธาตุเช่นทุกครั้ง แต่เมื่อเดินผ่านประตูวัดเข้าไป ก็ต้องตกใจ เกิดอะไรขึ้นทำไมคนเต็มวัดเลย! ที่จอดรถของวัดก็มีรถทัวร์คันใหญ่อยู่เต็มเช่นกัน ต่อมาถึงได้รู้ว่าเป็นผู้คนจากประเทศเพื่อนบ้าน เขามาแห่ผ้าขึ้นธาตุกัน

 

Photo:

ขอลอกข้อเขียนจากมติชน ออนไลน์ มาให้อ่านกัน...

...นายเฉิน กล่าวผ่านล่ามว่า ชาวมาเลเซียที่เดินทางมาครั้งนี้ จะมีทั้งเชื้อสายไทยและเชื้อสายจีนที่นับถือศาสนาพุทธ ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือของประเทศมาเลเซีย โดยทุกคนมีความเชื่อว่า จะต้องเดินทางมากราบสักการะพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชปีละ 1 ครั้ง จนครบ 9 ปี หลังตรุษจีนเดือนกุมภาพันธ์-เมษายนของทุกปี จะทำให้ชีวิตมีความเจริญรุ่งเรืองเจริญก้าวหน้าในการประกอบอาชีพ มีโชคลาภ และชีวิตครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข ในขณะที่บางครอบครัวที่บรรพบุรุษเป็นคนไทยได้นำบุตรหลานมาบรรพชาอุปสมบทที่ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร

“บางคนมาเป็นครั้งที่ 4 แล้ว ซึ่งในแต่ละปีจะเดินทางมาไม่ต่ำกว่า 20 คัน รถบัส สำหรับปีนี้ จะมีทยอยเดินทางมาทุกเสาร์ อาทิตย์ โดยแวะที่วัดพระมหาธาตุฯ ตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง จากนั้นแวะรับประทานอาหาร ซื้อเครื่องประดับและสินค้าหัตถกรรม เดินทางกลับไปพักค้างคืนที่ อ.หาดใหญ่ หรือในตัวเมืองสงขลา” นายเฉินกล่าวผ่านล่าม

ฉบับเต็มอ่านได้ ที่นี่

ขอบคุณค่ะ

 

Photo:

ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุหมายถึง การนำผ้าผืนยาวขึ้นไปห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์ในวันสำคัญทางศาสนา ชาวนครได้ร่วมมือร่วมใจกันบริจาคเงินตามกำลังศรัทธานำเงินที่ได้ไปซื้อผ้ามา เย็บต่อกันเป็นแถวยาวนับพันหลา แล้วจัดเป็นขบวนแห่ผ้าขึ้นห่มพระบรมธาตุเจดีย์ ผ้าที่ขึ้นไปห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์เรียกว่า “ผ้าพระบฎ” (หรือ พระบต) นิยมใช้สีขาว สีเหลือง สีแดง สำหรับผ้าสีขาวนิยมเขียนภาพเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธประวัติตั้งแต่ประสูติ เสด็จออกบรรพชา ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุเป็นเอกลักษณ์ประจำเมืองนครศรีธรรมราช แก่นแท้อยู่ที่การบูชาพระพุทธเจ้าอย่างใกล้ชิด โดยใช้องค์พระบรมธาตุเจดีย์เป็นตัวแทน

ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

 

Photo:

แขกต่างชาติเขาตระเตรียมแห่ผ้าขึ้นธาตุกัน คนปั่นจักรยานเลยต้องเดินเก็บเศษขยะหนังสือพิมพ์มาเลย์ฉบับภาษาจีน ที่แขกเอามาใช้ลองนั่งฟังพระสวดก่อนที่จะปลิวว่อนไปทั่วลานวัด

 

Photo:

นอกจากพระธาตุแล้ว นครศรีฯ ยังมี ‘อันซีน ไทยแลนด์’ อีกด้วยนะจ้ะ

เมื่อพี่สาวสุดที่รักลงภาพโบสถ์หลังเก่าที่มีเถาวัลย์เกาะอยู่เต็ม สวยแปลกจนอ้อยหวานต้องตะโกนถามไปว่า “ที่นั่นที่ใด พาน้องไปให้เห็นกะตาได้ไหม”

 

Photo:

แล้วเช้าวันหนึ่งก็มีคนเห็นสองจักรยานโลดลิ่ว ผ่านดินแดนที่ห่างไกล (แต่ใกล้นครฯ นิดเดียว) ที่อ้อยหวานบอกว่า ‘ดินแดนที่ห่างไกล’ นั้นหมายถึง ‘ห่างไกลจากผู้คนและความวุ่นวายจอแจ’ ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า ‘Off The Beaten Track’ (มาแล้ว..ภาษาอังกฤษ วันละคำ!!!)

 

Photo:

‘Off The Beaten Track’ จริงๆ หนูช๊อบ..ชอบ และการปั่นจักรยานเที่ยวชมสถานที่เช่นนี้ เป็นการเคารพสถานที่นั้นๆ อย่างจริงใจ การไปชมสถานที่ที่เงียบสงบ เราก็อย่าได้ขนรถรา ตะบึงแล่นไป จนฝุ่นกระจุย ความสงบเงียบกระจายผู้คนและนกกาผวาดผวา

ขอร้องอย่าทำ!!!

 

Photo:

วัดไพศาลสถิตเป็นวัดโบราณ สร้างในสมัยอยุธยา ตั้งอยู่ที่ตำบลปากพยูน อำเภอเมือง นครศรีฯ จดไว้เลย...

 

Photo:

ธรรมชาติเรียกคืน

 

Photo:

เก่าแก่ แต่..งดงามตามธรรมชาติ

 

Photo:

ภายในมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่

 

Photo:

แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเข้ามาในโบสถ์ เป็นภาพที่งดงามมาก สวย สงบ และ งดงาม

 

Photo:

เก่า กับ ใหม่

อ้อยหวานขอขอบคุณพี่สาวที่นำทางไปชม ‘อันซีน ไทยแลนด์’ ในครั้งนี้ ขอบคุณมากค่ะ แล้วพบเจออะไรอีก ก็อย่าลืมกระซิบบอกกันด้วยนะ!

 

โปรดติดตามอ้อยหวานเล่าเรื่อง “ก้าวเท้าที่นำไป ” ในตอนต่อไป

 

อ่าน “ก้าวเท้าที่นำไป ” ตอนแรก

ก้าวเท้าเดิน..ตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ

 

อ่านบล็อก วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร หรืพระธาตุเมืองคอน ของอ้อยหวานได้ที่นี่

วันนี้ที่นครศรีธรรมราช

ฉันรัก..เมืองคอน

 

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

 

ขอบคุณค่ะ

 

อ้อยหวาน

 

ไม่ต้องงง..ถ้าตื่นมาเจอ..ดอกไม้

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

Photo:

วันนี้อ้อยหวานเอาดอกไม้มาให้ชื่นชมดมกลิ่น ดอกไม้ของฤดูใบไม้ผลิในออตตาวา แคนนาดา บ้านอยู่ของอ้อยหวาน บ้านหลังที่สองที่อ้อยหวานรักเป็นนักหนา และเป็นเมืองบ้านเกิดของคุณผู้ชายที่บ้านและลูกๆ ทั้งสองคน

 

Photo:

ออตตาวาเป็นเมืองหลวงของประเทศแคนนาดา เป็นเมืองที่ไม่เล็ก ไม่ใหญ่ ขนาดพอดี้ พอดี และเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่า ‘เมืองสีเขียว’ มองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียวของต้นไม้ใบหญ้า ไม่มีตึกสูงใหญ่มาบดบังความสวยเหมือนเมืองหลวงของประเทศอื่นๆ  นอกจากนี้เมืองออตตาวายังเป็นเมืองหลวงของดอกทิวลิปในประเทศแคนนาดาอีกด้วย ทุกๆ ปี ออตตาวาจะมีงานเทศกาลดอกทิวลิปที่จัดว่าใหญ่ในอันดับต้นๆ ของโลก “เทศกาลดอกทิวลิปแห่งแคนาดา” (The Canadian Tulip Festival)

 

Photo:

อ้อยหวานเอาดอกทิวลิปมาให้ชมหลายบล็อกแล้ว ดูได้ในลิงค์ข้างล่างค่ะ

เมื่อดอกไม้บานในใจฉัน

…หยุด.. โปรดหยุด แวะดมดอกไม้

ปั่นจักรยานร่อนชม..ดม…ทิวลิป

พาไปชมเทศกาลดอกทิวลิปแห่งแคนาดา

 

Photo:

ในปี 2017 นี้ประเทศแคนนาดากำลังเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 150 ปี ของการรวมประเทศ และแน่นอนก็ต้องมีทิวลิปพิเศษแห่งปี ทิวลิปขาวแต้มแดงสุดสวย สีขาวและสีแดงเป็นสีประจำชาติของแคนนาดา

 

Photo:

คนแคนนาดาภูมิใจในประเทศของตนมาก ประเทศที่รักสงบ ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติอยู่ด้วยกันอย่างสันติ เหมือนทิวลิปหลากสายพันธ์ หลากสีสัน หลอมรวมกันในสวนสวย ด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็น ทำให้ผู้คนอดทน ขยันขันแข็ง และใจเย็น

 

Photo:

แต่บล็อกนี้ไม่ได้มีแค่ทิวลิป เพราะฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงที่พรรณไม้ทุกต้นผลิดอก เบ่งบาน ละลานตา อ้อยหวานขอลอกเนื้อเพลง ดอกไม้ ของ โจ้ ธณรัฐ ปิ่นเวหา มาบรรยายรูปดอกไม้ในออตตาวาของอ้อยหวาน ขอบคุณค่ะ

 

Photo:

“แคร็ปแอ็ปเปิล” (crabapple)

ชมและอ่านรายละเอียดได้ที่บล็อก โอ้..เจ้าดอกแอ็ปเปิล

 

เพลง ดอกไม้ ของ โจ้ ธณรัฐ ปิ่นเวหา

 

ไม่ต้องงงหรอกเธอ ถ้าตื่นทุกเช้า

แล้วมองออกไป

แล้วเห็นมีดอกไม้ช่อใหญ่

มาแขวนหน้าบ้านเธอ

 

Photo:

ทริลเลี่ยม (Trillium) ดอกไม้ประจำรัฐออนตาริโอ รัฐที่เมืองออตตาวาตั้งอยู่

 

ก็ทั้งกุหลาบแดง ทิวลิปดอกขาว ที่เธอได้เจอ

ฉันเองแหละเธอ ที่เอาไปไว้ให้เธอเอง

 

Photo:

ดอกไอริส

ชมและอ่านรายละเอียดได้ที่บล็อก แด่แม่..ด้วยดวงใจ

 

แต่ฉันไม่ขอเรียกร้อง ไม่ขออะไรมากมาย

แค่สิ่งมีความหมายเท่าๆ กัน

และก็ให้รู้ สิ่งมีค่าใดๆ ไม่ต้องการ

แต่อย่างเดียวที่ขอเธอ

 

Photo:

เวอร์จิเนีย บลูเบล (Virginia bluebells)

 

ใจดีๆ จากเธอ ให้ได้ไหมนะ

ขอให้ฉันเถอะ

ใจดวงเดียวจากเธอ ให้ได้ไหมเธอ

ใจดีๆ อย่างเธอ ฉันไม่เคยได้พบเจอ

 

Photo:

แม็กโนเลีย

ชมและอ่านรายละเอียดได้ที่บล็อกยากที่จะหักใจลืม….แม็กโนเลีย

 

แลกกันเถอะ

แลกกันกับดอกไม้ (ที่ให้ไป)

รู้ไว้เธอ ...ดอกไม้ ที่เอาไปแขวนให้วันต่อวัน

รู้ไว้เลยแล้วกัน ว่ามันไม่ธรรมดาเลย

 

Photo:

ดอกไลแล็ค (Lilac)

ชมและอ่านรายละเอียดได้ที่บล็อกหอม เจ้าหอมยิ่งนัก..เจ้าดอกไลแล็ค

 

เพราะว่าในดอกไม้

เต็มเปี่ยมด้วยรัก ที่มีให้เธอ

หวังเหลือเกินว่าเธอ จะตกลงซื้อด้วยหัวใจ

 

Photo:

ไม่ต้องงงหรอกเธอ ถ้าตื่นทุกเช้า

แล้วมองออกไป

แล้วเห็นมีดอกไม้ช่อใหญ่

มาแขวนหน้าบ้านเธอ

เนื้อเพลง ดอกไม้ ของ โจ้ ธณรัฐ ปิ่นเวหา

ขอบคุณค่ะ

 

Photo:

ดอก อย่าลืมฉัน ( Forget-me-not )

ขอให้เพื่อนๆมีแต่ความสุข

ขอบคุณค่ะ

 

อ้อยหวาน

 

Photo:

สองล้อเที่ยวชมวิถีชีวิตเมืองคอน 1

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

Photo:

กลับบ้านเกิดเมืองคอนคราวนี้ อ้อยหวานได้ปั่นจักรยานภายในตัวอำเภอเสียจนเรียกว่าปรุ เข้าซอยโน้น ออกซอยนี้ เป็นว่าเล่น เพราะกลับไปนอนเล่นที่บ้านเป็นเดือน และแม่สั่งนักสั่งหนาว่า ‘อย่าไปไหนไกล’ จนกว่าจะมีเพื่อนร่วมปั่น!

เช้าวันแรกที่บ้านเกิด สองล้อคู่ใจที่ไม่ได้เจอกันนาน เพราะอ้อยหวานซื้อหามาหลายปีแล้วทิ้งไว้ที่บ้าน กลับมาจะได้มีจักรยานปั่นเที่ยว เมื่อเปิดประตูแล้วทะยานออกไป อ้อยหวานรู้สึกเลยว่า จักรยานมันดีใจ ล้อหมุนเริงร่า ระริก ระรี้ ขึ้นมาทีเดียว ใจนึกสงสารมัน (จักรยาน) ก็เลยสัญญากับมันว่า กลับบ้านมาคราวนี้จะพาเที่ยวทุกเช้าให้หนำใจไปเลย

เช้าแรกก็ต้องแวะมาที่นี่ มายกมือไหว้พระธาตุ อธิษฐานของให้เดินทางปลอดภัย ไม่ว่าจะปั่นจักรยาน นั่งรถ ขึ้นเครื่องบิน

ดวงตะวันขึ้นจากทางหน้าวัด คนที่อยากถ่ายภาพพระธาตุกับพระทิตย์ขึ้นยามเช้า ก็ต้องมาเก็บภาพหลังวัด เสียดายที่มีสายไฟฟ้ารกสายตา ถ้าเอาฝังใต้ดินคงจะเป็นการดี

 

Photo:

หลังจากไหว้พระธาตุแล้ว อ้อยหวานก็หมุนล้อไปตามซอกซอยหลังพระธาต ถิ่นที่ตัวเองชื่นชอบและมาบ่อยๆ เมื่อหลุดออกจากซอยมาที่ถนนตัดใหม่หรือถนนเลียบทางรถไฟ ก็ต้องร้องว้าว!!! เส้นทางจักรยานสีเขียวสวยงดงาม สายแรกของนครศรีธรรมราชเลยนะเนี่ย ดีใจจนหน้าบาน ไม่ได้การแล้ว อย่างนี้ต้องลองปั่นทดสอบเส้นทางกันสักหน่อย

 

Photo:

เส้นทางสีเขียวนี้มีระยะทางประมาณ 6.3 กิโลเมตร อ้อยหวานเลยปั่นไปกลับเสียเลย เริ่มแรกก็ไปได้สวย แต่….

 

Photo:

ชะอุ้ย ขอโทษที!!

กระผมอ่านหนังสือไม่ออก

 

Photo:

@@##**##$$%%

งงเลยละเธอ

 

Photo:

ภายในเช้าเดียวกันนี้ นับได้หกคัน พอดิบพอดี

ยัง ยังไม่หมด มีรถมอเยอร์ไซด์มาวิ่งบนทางจักรยานหลายคันด้วย แต่ถ่ายรูปไม่ทัน ทั้งๆ ที่เขามีทำทางรถมอเตอร์ไซด์ไว้ให้ด้วย แถมมีวิ่งสวนทางมาบนทางจักรยานอีกด้วย เห็นแล้วงง!

***ตามความคิดเห็นส่วนตัวของอ้อยหวาน ...ประเทศที่เจริญแล้ว เขาไม่นับกันที่ประชาชนมีโทรศัพท์มือถือใช้กันทุกคน มีไอโฟนใช้กันมากมาย เด็กๆ มีคอมเล่นกันกี่คน ในประเทศมีคลื่นโทรศัพท์มือถือ  3G, 4G, 5G หรือ เอาไปเลย 10G มีอะไรต่อมิอะไรทุกอย่างที่เมืองนอกเขามีกัน สิ่งเหล่านั้นมันเป็นความเจริญทางวัตถุ ที่ไม่เสริมสร้างความเจริญทางจิตใจ หรือความเจริญทางการดำรงวิถีชีวิตได้เลย

...ประเทศที่เจริญแล้ว เขานับกันที่ ประชาชนมีระเบียบ เคารพต่อกฎเกณฑ์ เคารพกฎกติกาของสังคมและสิทธิผู้อื่น มากแค่ไหน ต่างหากเล่า

 

Photo:

บ่นไปก็ไลพ์บอย ไปเดินตลาดกันดีกว่า เช้าวันหนึ่งอ้อยหวานออกปั่นเช่นเคย ไปทางใหม่ที่ไม่เคยไป แล้วไปจ๊ะเอ๋กับตลาดเล็กๆ ที่จุเต็มด้วยของกินแบบบ้านๆ ตลาดแห่งนี้เป็นตลาดนัด เพราะอ้อยหวานแวะไปวันอื่นนั้นไม่มีตลาดอยู่เลย

 

Photo:

หมี่ผัดแบบเมืองคอน ใครได้ลองแล้วจะติดใจ แต่ขอบอกนิดนึงว่า อย่าใช้กล่องโฟมเพราะหมอเขาเตือนกันให้แซ๊ด

 

Photo:

แพทย์เตือน! กล่องโฟมอันตราย ต้นเหตุมะเร็ง

ต้นเหตุการเกิดมะเร็งที่สำคัญนั้นเกิดจากอาหารต่างๆ ที่ถูกบรรจุใส่ไว้ในกล่องโฟม ซึ่งมี “สารสไตรีน (Styrene)” ซ่อนอยู่ ต่อให้การใช้กล่องโฟมสะดวกสบายแค่ไหน ก็ต้องแลกกับโรคมะเร็งที่พร้อมจะเข้าสู่ร่างกายได้ตลอดเวลา โดยจะเข้าไปสะสมอยู่ในร่างกายที่ละเล็กทีละน้อย ค่ยอๆ สะสมจนเป็นโรคร้ายในที่สุด

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

 

Photo:

อย่างนี้ต้องยกนิ้วให้ ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย ไม่มีโทษต่อธรรมชาติ

 

Photo:

ขนมปะดา ขนมโบราณเมืองคอน ที่ดูเหมือนขนมโดนัทอันเล็กๆ แต่รสชาติไม่เล็ก เพราะไส้ข้างในมีรสเผ็ดนิดๆ อร่อยเหาะเลย แต่อย่ากินมาก เพราะของทอดกินมากไม่ดีต่อร่างกายเหมือนกัน

ขอลอกจากมติชน (อีกแล้ว) มาให้อ่านเพิ่มเติม

ขนมปะดา ขนมโบราณคู่บ้านคู่เมืองนครศรีธรรมราช รูปร่างหน้าตาคล้ายๆ กับขนมโดนัทของฝรั่ง แต่เป็นโดนัทที่มีไส้

….จาก คำบอกเล่าของคนเมืองนคร เขาบอกว่า เป็นขนมสูตรโบราณของชาวไทยมุสลิมในภาคใต้ ที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ส่วนมากมักจะทำในช่วงเทศกาลต่างๆ หรือประเพณีสำคัญของชาวไทยมุสลิม ที่มักจะทำขนมพื้นบ้านชนิดนี้มาเลี้ยงแขก

ลักษณะ ของขนมจะทำจากแป้งข้าวเจ้า คลุกเคล้าผสมกับกล้วยน้ำว้าที่สุกงอม โดยนำแป้งมานวดกับกล้วยน้ำว้าจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียวกัน ส่วนไส้ขนมจะประกอบด้วยสมุนไพรต่างๆ ได้แก่ ตะไคร้ หัวหอมแดง พริกไทย กระเทียม มะพร้าวขูด กะทิ กุ้งสด เกลือ และน้ำตาล นำมาบดส่วนผสมให้เข้ากันจนละเอียด จากนั้นก็นำไปผัดให้สุก

เวลาทำก็ นำแป้ง 2 ชิ้น มาประกบกัน โดยให้ไส้อยู่ตรงกลาง จากนั้นใช้นิ้วกดให้เป็นรู นำไปทอดในน้ำมันจนสุกมีสีเหลืองทอง ลักษณะขนมจะเหนียว นุ่ม ตัวแป้งมีความหวานและความหอมของกล้วยน้ำว้า ไส้รสเค็ม หวาน เจือเผ็ดเล็กๆ พอไม่ให้เลี่ยน หอมมะพร้าวและตะไคร้….

มีรายละเอียดอีกมากมาย หาอ่านได้ ที่นี่

ลูกกลมๆ ตรงกลางอ้อยหวานไม่แน่ใจว่าเป็นข้าวเหนียวทอดหรือไม่ ใครรู้บอกที ส่วนอีกถาดคิดว่าเป็นข้าวเม่าทอดที่ข้างในใส่กล้วยลูกเล็กๆ ทั้งลูก อีกอย่างที่ส่วนใหญ่จะขายพร้อมกันคือ จำปาดะทอด

 

Photo:

อีกสองสามวันต่อมา ได้ข่าวจากแม่ว่าเดี๋ยวนี้เมืองคอนมีตลาดนัดใหม่แล้วนะ! ไม่ได้การอ้อยหวานต้องปั่นจักรยานออกไปชมกันหน่อย ตลาดนัดใหม่นี้มีชื่อว่า ‘ตลาดริมน้ำเมืองลิกอร์”’

ก่อนอื่นอ้อยหวานขอยกเอาประวัติความเป็นมา ของชื่อต่างๆ ของเมืองนครศรีฯ ในสมัยโบราณ มาให้อ่านกัน

..ในอดีต มีชื่อเรียกดินแดนแถบนี้หลายชื่อ เช่น ในคัมภีร์มหานิเทศของอินเดีย ที่เขียนขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 7-8 เรียกว่า "ตามพรลิงก์"หรืออาณาจักรตามพรลิงก์, บันทึกโบราณของเมืองจีนเรียก "เซี้ยะ-โท้ว (ถู-กวั่ว) ", "รักตะมฤติกา"ซึ่งล้วนหมายถึง "ดินแดนที่มีดินสีแดง", ประเทศตะวันตกนิยมเรียกกันมา จนกระทั่งต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ว่า "ลิกอร์"สันนิษฐานว่าชาวโปรตุเกสที่เข้ามาติดต่อค้าขายในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น เป็นผู้เรียกก่อน โดยเพี้ยนมาจากคำว่า "นคร"ส่วนชื่อ "นครศรีธรรมราช"มาจากพระนามของกษัตริย์ผู้ครองนครในอดีต มีพระนามว่า "พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช" (ราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช) มีความหมายว่า "นครอันเป็นสง่าแห่งพระราชาผู้ทรงธรรม"หรือ "เมืองแห่งพุทธธรรมของพระราชาผู้ยิ่งใหญ่"

ขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพิเดีย

 

Photo:

‘ตลาดริมน้ำเมืองลิกอร์”’ กำหนดให้มีขึ้นในวันศุกร์สุดท้ายของทุกเดือน ที่ริมกำแพงเมืองเก่า ข้างสนามหน้าเมืองนครศรีธรรมราช ตลาดริมน้ำจุเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ส่วนใหญ่จะขายอาหาร

 

Photo:

สารพันของกิน

 

Photo:

ไข่ปลาตะเพียนต้มน้ำส้มโหนด (น้ำส้มสายชูที่หมักจากน้ำตาลหวานของตาลโตนด)

 

Photo:

ขนมหวานหลากหลายชนิดกับสาวน้อยหน้าหวาน

 

Photo:

หม้อและปิ่นโตเคลือบแบบโบราณ

 

Photo:

ซื้อแล้วนั่งทานริมคลอง  

 

Photo:

หรือจะมานั่งกินในสวนติดกัน แต่อย่าลืมเก็บขยะของตนเองไปทิ้งในถังขยะให้เรียบร้อยก็แล้วกัน

 

Photo:

นอกจากนี้ยังมีการแสดงดนตรี การแสดงพื้นบ้าน และอื่นๆ อีกมากมาย

อย่าลืม! วันศุกร์สุดท้ายของทุกเดือน ผ่านมาแถวเมืองคอน แวะได้เลยที่  ‘ตลาดริมน้ำเมืองลิกอร์”’

 

โปรดติดตามอ้อยหวานเล่าเรื่อง “ก้าวเท้าที่นำไป ” ในตอนต่อไป

อ่าน “ก้าวเท้าที่นำไป ” ตอนแรก

ก้าวเท้าเดิน..ตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ

ก้าวเท้าเดิน..ตามรอยเวลา

 

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

ขอบคุณค่ะ

อ้อยหวาน

Viewing all 244 articles
Browse latest View live