Quantcast
Channel: บล็อก อ้อยหวาน
Viewing all 244 articles
Browse latest View live

หอมกลิ่นไอฝน ยลความงามสีเขียว ณ.เชิงเขานครศรีธรรมราช

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

อ้อยหวานเป็นเด็กนักเรียนไกลบ้านตั้งแต่ตัวเล็กๆ ไปเป็นเด็กวัดฝรั่งตั้งแต่ประถมต้น ชีวิตการเดินทางก็เริ่มมาแต่บัดนั้น แต่เป็นการเดินทางระหว่างบ้าน คือนครศรีธรรมราชกับโรงเรียนที่เมืองหลวง เมืองแห่งเทพ การเดินทางขื้นลงแต่ละปีนับรวมแล้วก็หลายเที่ยวอยู่ และส่วนใหญ่จะเป็นการนั่งรถไฟ ปีแรกของการเดินทางอ้อยหวานจำได้ว่ารถลากขบวนรถไฟยังเป็นรถจักรไอน้ำอยู่เลย

จากกรุงเทพถึงนครศรี๚ใช้เวลานานทีเดียว แต่ในตอนนั้นรู้สึกสนุกมาก เวลารถไฟจอดตามสถานีต่างๆ เป็นช่วงที่สนุกที่สุด อ้อยหวานชอบดูผู้คนเดินทางที่เดินขึ้นลงรถไฟ และพ่อค้าแม่ขายที่ทูนถาดขนม และของทานอร่อยๆ ปากก็ตะโกนร้องขายกันอย่างสนุกครึกครื้น จำได้ว่ามีพ่อค้าอยู่คนหนึ่งที่ส่งเสียงร้องขายได้แปลกมากคือ “ไก่ครับ ไก่..ก่..ก่..ก่ ท่อต” รองอ่านคำว่าไก่ลากเสียงไปยาวจนสุดลมหายใจ แล้วลงเสียงคำว่าทอดให้สั้นและห้วนที่สุด ได้ยินทีไรต้องหัวเราะกิ๊กๆ ทุกที การเวลาผ่านไปการเดินทางแบบอื่นก็เข้ามามีบทบาทเหนือรถไฟ แล้วเด็กนักเรียนไกลบ้านคนนี้ก็ยิ่งไกลบ้านออกไปจนสุดขั่ว แต่ในบางครั้งก็ยังถวิลหา อยากหวนกลับมาชมรอยทางเดิมที่เคยผ่านในอดีต เมื่อได้มาแวะเยือนทุ่งสงก็ต้องมีการย้อนรอยเก่ากันบ้าง จึงมีทริปปั่นเที่ยววงกลม ทุ่งสง-นาบอน-ทุ่งสง และทริปปั่นเที่ยวรอบๆ ทุ่งสงขึ้น

 

ก่อนอื่นอ้อยหวานขออธิบายทางรถไฟสายใต้ช่วงนครศรีธรรมราชไว้คร่าวๆ เป็นเพราะแนวเทือกเขานครศีธรรมราชที่ทอดตัวยาวเหนือใต้ และแบ่งจังหวัดนครศรี๚ ออกเป็นสองฝั่ง ทางรถไฟจึงต้องเลาะเลียบแนวเขาลงใต้มาจนถึงทุ่งสง แล้วสายหลักจะลงใต้ต่อไปยังสุไหโกลก แต่สายนครศรี๚ จะอ้อมเขาแล้ววกขึ้นเหนือมายังอำเภอเมืองนครศรี๚ อีกที โดยผ่านอุโมงค์แห่งเดียวของทางรถไฟสายใต้ คือ อุโมงค์ช่องเขา ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรี๚ มีความยาว 235.90 เมตร ทำให้เป็นการเดินทางที่ยาวนานจริงๆ

 

วันที่เราปั่นเที่ยวทุ่งสงและพื้นที่รอบๆ ฟ้าฝนก็เป็นใจราดน้ำมนต์น้ำฝนให้ชุ่มฉ่ำใจมาทั้งสองวัน เด็กใต้ที่ชอบวิ่งเล่นตากฝนจะรู้ว่ามันสนุกเพียงไร ปั่นจักรยานตากฝนก็สนุกเยี่ยงนั้น และในวันนั้นไม่ใช่แต่เด็กใต้ที่สนุกสุดเวี่ยง เด็กหัวหรั่งก็สนุกเช่นกัน แต่มีข้อเสียอย่างเดียวคือถ่ายรูปไม่ได้ จึงมีรูประหว่างทางมาให้ชมน้อยมาก เราปั่นไปบนถนนสายเล็กๆ สองฝั่งถนนร่มและเขียวขจี ยิ่งสายฝนพร่างพรมมามากเท่าใด เหล่ามวลไม้ก็แข่งกันเปล่งรัศมีสีเขียวมากขึ้นเท่านั้น นับเป็นวันที่เราได้ดมกลิ่นไอฝน ยลความงามสีเขียว กันอย่างจุใจจริงๆ  เหมือนกลับได้มาดีท็อกซ์ปอดและตา ท่ามกลางสายฝนเราสัมผัสถึงความเย็นชุ่มฉ่ำ ปั่นจักรยานกลางสายฝนนี้ เป็นความสุข สนุก สดชื่น จริงๆ

ไม่ใช่สายฝนหรอก ที่ทำให้เราไม่สบาย..แต่เป็นเพราะร่างกายที่ไม่แข็งแรงต่างหาก

 

เส้นทางวงกลม ทุ่งสง-นาบอน-ทุ่งสง ระยะทางทั้งหมดเกือบ 40 กิโล ที่ออกแบบมาให้เลียบทางรถไฟมากที่สุด ดูจากแผนที่จะเห็นได้ว่าเราเลาะเลียบเชิงเขากันจริงๆ เป็นเส้นทางสีเขียวอีกเส้นทางหนึ่งที่เหมาะกับการปั่นจักรยานเที่ยวมาก

 

 

 

ภูเขามีประสิทธิภาพในการดักจับเมฆ/หมอกจริงๆ แถบนี้จึงชุมชื้นเป็นพิเศษ

 

เราหยุดแวะชมสถานีรถไฟระหว่างทางคือ สถานีรถไฟนาบอน คลองจัง และทุ่งสง แต่เป็นเพราะสภาพที่เปียกปอนเป็นลูกหมาตกน้ำ แถมรองเท้าก็เปื้อนดินโคลน ทำให้ไม่ได้หยุดชมนาน กลัวไปทำสถานที่เขาเลอะเทอะ สถานีรถไฟทั้งสามสถานีมีการเปลี่ยบแปลงน้อยมาก ทีฺเปลี่ยนไปคือห้องน้ำ ทำใหม่ เน้นโทนชมพูแบบเดียวกันแป๊ะ!

 

เครื่องสับรางรถไฟ

ประวัติทางรถไฟสายใต้

เป็นทางรถไฟที่เริ่มต้นจากสถานีรถไฟธนบุรี กรุงเทพมหานคร ผ่านจังหวัดนครปฐม, ราชบุรี, เพชรบุรี,ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, พัทลุง, สงขลา, ยะลา และไปสุดปลายทางที่สถานีรถไฟสุไหงโก-ลกจังหวัดนราธิวาส และไปบรรจบกับทางรถไฟของประเทศมาเลเซีย ที่สถานีรถไฟรันเตาปันยัง

ทาง รถไฟสายใต้สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจากสถานี รถไฟธนบุรีถึงสถานีรถไฟเพชรบุรี ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ขยายเส้นทางไปภาคใต้และสร้างทางแยกที่สถานีรถไฟชุมทางบางซื่อ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่สะพานพระรามหกไปบรรจบกันที่สถานีรถไฟชุมทางตลิ่งชัน เพื่อเชื่อมทางรถไฟสายใต้กับทางรถไฟสายเหนือ ทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ และสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง)ความยาวของทางรถไฟสายใต้ นับจากสถานีรถไฟธนบุรี ถึง ชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส รวมทั้งสิ้น 1,144.29 กิโลเมตร เป็นทางรถไฟสายที่ยาวที่สุดในประเทศไทย

ขอบคุณข้อมูลจากปาตานี

 

ส่วนวันต่อไปเราปั่นเที่ยวรอบๆ ทุ่งสง ก็ปั่นกันแบบตามใจฉัน เอาใจเธอ และเกรงใจฟ้า เพราะวันนี้ฟ้าฝนออกจะมาในแนวพระพิโรท

อำเภอทุ่งสงเป็นอำเภอที่มีความเจริญเป็นอันดับสองของจังหวัดนครศรีธรรมราช รองจากอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เนื่องจากมีที่ตั้งอยู่ตรงกลางของภาคใต้และเป็นจุดศูนย์กลางคมนาคมทางบกทั้ง รถยนต์และรถไฟ อำเภอทุ่งสงมีประวัติความเป็นมายาวนาน ปรากฏตามตำนานเมืองนครศรีธรรมราชว่าเคยเป็นแขวงขึ้นอยู่ในปกครองของเมือง นครศรีธรรมราชตั้งแต่สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่อได้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองจากมณฑล เป็นจังหวัด เมื่อ พ.ศ. 2440 ได้จัดตั้งเป็นอำเภอทุ่งสงขึ้นกับจังหวัดนครศรีธรรมราช

ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย

 

ปั่นตามใจฉันก็คืออ้อยหวานอยากไปชมศาลพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม เช้าวันนั้ท้องฟ้ามืดครึ้ม เมฆฝนแผ่คลุมทั่วฟ้า แต่อยู่ใต้ฟ้าจะกลัวอะไรกับฝน จึงมีคนเห็นจักรยานสองคันแล่นลิ่วออกไป เราแวะทานข้าวต้มโจ๊กริมทาง แล้วเลยไปที่ศาลเจ้า ทั่วทั้งบริเวณสงบเงียบ หมอกเมฆฝนค่อยๆ ลอยเลื่อนเข้ามาปกคลุม ทำให้ได้บรรยากาศขรึมขลังและศักดิ์สิทธิ์ อาคารศาลเจ้าดูเหมือนเพิ่งได้รับการบรูรณะไปไม่นานมานี้เอง

ศาลพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมเป็นที่ประดิษฐานพระซำปอกง (หลวงพ่อโต) และรูปปั้นพระโพธิ์สัตว์เจ้าแม่กวนอิมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่เป็นประติมากรรมปูนปั้นปางปาฏิหาริย์ทรงแผ่เมตตา รายล้อมด้วยสระน้ำและน้ำพุ เหนือแท่นบูชา 3 ชั้น โดยมีขนาดความสูงของพระพุทธรูป 19 เมตร ซึ่งภายในวัดยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้กราบไหว้บูชาอีกมากมาย เช่น เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว, องค์พญาทวดตรีเศียรไตรมงคล, องค์เทพทวารบาล, องค์แปะกง และพระพุทธชินราช เป็นต้น

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวของทุ่งสงและนครศรีธรรมราชได้ ที่นี่

 

พระพุทธชินราช พระประธานในโบสถ์ ตัวอักษรจีนข้างหลังองค์พระ อ้อยหวานเดาเอาว่าเป็นตัวอักษร "ส"และ "ธ"หากใครอ่านออกวานบอกที

 

พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมยืนเด่นหน้าเนินเขาประดับด้วยสายเมฆ

 

หลังคาโบสถ์มีตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรต สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ในวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

 

รายละเอียดที่น่ารู้น่าสนใจของตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรต สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ

 

อักษร พระนามาภิไธย ส.ธ. ภายในกรอบสุพรรณเบจเพชรรัตน์ อักษร "ส"สีม่วงชาดแก่ อักษร "ธ"สีขาว บนพื้นสีม่วงครามอ่อน เป็นสีวันพระราชสมภพ ดวงเพชรรัตน์ ๕ ดวง หมายถึง ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๕ รอบ อักษรพระนามาภิไธย ส.ธ. อยู่ภายใต้พระชฎามีพระกลีบปักพระยี่ก่าทองไม่ประกอบพระกรรเจียกจร เบื้องหลังพระชฎามีพระบวรเศวตฉัตร (พระสัตตปฎลเศวตฉัตร) คือ ฉัตรขาว ๗ ชั้น แต่ละชั้นมีระบายขลิบทองแผ่นลวด ๓ ชั้น ชั้นล่างสุดห้อยอุบะจำปาทองเป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระบรมราชกุมารี ทั้งสองข้างกรอบพระนามาภิไธย มีรูปเทพยดา พระกรหนึ่งประคองเชิญพระบวรเศวตฉัตร พระกรหนึ่งกระชับเถาบัวทองไว้ ขัดพระขรรค์ทรงเศวตพัสตราภรณ์ เขียนทอง เทพยดาข้างเลข ๖ (ด้านซ้าย) ทรงพระชฎาเดินหน ปักพระยี่ก่าดอกไม้ทอง ทัดพระกรรเจียกจร และเทพยดาข้างเลข ๐ (ด้านขวา) ทรงพระชฎามหากฐิน (พระชฎาห้ายอด) ปักพระยี่ก่าดอกไม้ทอง ทัดพระกรรเจียกจร หมายถึง เทพยดาทรงมาบริรักษ์เฉลิมฉลองในมหามงคลกาลนี้ ให้ทรงเจริญพระสิริสวัสดิ์ พูนพิพัฒน์พระเกียรติยศยิ่ง พ้นสิ่งสรรพทุกข์ โรคันตรายทั้งปวง อนึ่ง เถาบัวทอง หมายถึง ทรงเนานิเวศน์ นามว่า "สระปทุม"ใต้กรอบพระนามาภิไธย มีเลขมหามงคล ๖๐ ว่าทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา บนพื้นสีหงสบาท (ส้มอ่อนหรือสีเท้าหงส์) เป็นสีวันพฤหัสบดี ในคัมภีร์พระไสยศาสตร์ว่าเป็นมงคลอายุของวันพระราชสมภพ ถัดลงมามีเชิงลายถมสีหงชาด (ชมพู) เขียนอักษรไทยย่อสีทองว่า "ฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ"และ "๒ เมษายน ๒๕๕๘"บนห้องลายพื้นสีขาวถัดลงมา สะท้อนถึงทรงเชี่ยวชาญด้านอักษรโบราณและการโบราณคดีทั้งปวงด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก สฟป

 

ศาลพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมเป็นสถานที่ที่มีสถาปัตยกรรมและศิลปะแบบจีนอันวิจิตรงดงาม รูปภาพบนคานมีสีสันสดใสเป็นภาพต่างๆ เช่น เทพเจ้าจีน ดอกไม้ และสัตว์มงคลต่างๆ และแน่นอนต้องมีรูปวาดและรูปปั้นมังกรอยู่มากมาย

ชาวจีนเชื่อถือกันว่ามังกรเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ 4 ชนิด คือ กิเลน หงส์ เต่า และมังกร และส่วนใหญ่เป็นมังกรคาบแก้ว บางตำรากล่าวว่ามังกรเป็นเทพพิทักษ์ไข่มุกศักดิ์สิทธิ์แห่งท้องทะเล แต่บางตำรากล่าวว่าแก้วหรือมุกนั้นเป็นไข่ของมังกรเอง

ต่อมาก็มาถึงปั่นเที่ยวเอาใจเธอคือคุณผู้ชายที่ชื่นชอบพรรณไม้ ป่า สวน เธอชื่นชอบสวนพฤกษศาสตร์เป็นพิเศษ พอเห็นคำว่าสวนพฤกษศาสตร์ในแผนที่กูเกิ้ลก็ต้องตามไปดู สวนพฤกษา สิรินธร ภาษาอังกฤษใช้ชื่อว่า Sirindhorn Botanical Garden

คำว่า Botanical Garden หรือ สวนพฤกษศาสตร์นั้นมีความหมายว่าเป็นพื้นที่คุ้มครองประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่สร้างขึ้นเพื่อรวบรวมพันธุ์ไม้ทุกชนิด ทั้งในและนอกประเทศที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ ความสวยงามหรือที่หายากมาปลูกไว้เป็นลำดับตามหมวดหมู่ และตระกูล เพื่อการศึกษาวิจัยและการเผยแพร่ขยายพันธุ์ ให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชน และแก่ประเทศชาติต่อไป ในประเทศไทยมีอยู่ 5 แห่ง คือ สวนพฤกษศาสตร์พุแค จังหวัดสระบุรี สวนพฤกษศาสตร์เขาช่อง จังหวัดตรัง

แต่ปั่นไปถึงสวนก็รู้ว่าเป็นเพียงสวนสาธารณะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจเท่านั้น อ้อยหวานคิดว่าคนที่ใส่ชื่อภาษาอังกฤษในแผนที่กูเกิ้ล ควรจะกลับไปแก้ไขความผิดพลาดของตน อย่างไรก็ตามสวนร่มรื่นครึ้มไปด้วยพรรณไม้เพียงปั่นจักรยานผ่านก็คงเพียงพอ ส่วนการเดินป่าหลังเขาที่ระบุในเว็ปไซด์ของ สวนพฤกษา สิรินธร คงจะเป็นโครงการในอนาคตที่ยาวไกล

 

ส่วนที่อ้อยหวานว่าเกรงใจฟ้าคือฝนที่กระหน่ำลงมาสุดฤทธิ์ มีสายฟ้าฟาดด้วย ทำให้เราต้องหาที่หลบฝนกันจ้าละวั่น  แล้วเราก็ได้ที่หลบฝนอย่างดี ทุ่งสงมีร้านแมคโดนัลที่กว้างใหญ่และตกแต่งไว้สวยน่านั่ง (หลบฝน) เชียวละ เราเลยได้อุดหนุนกาแฟ มันฝรั่งทอด และห้องน้ำกันที่นี่ ต้องขอบขอบคุณที่ทางร้านที่จัดนั่งตรงระเบียงด้านนอกไว้ด้วย เราเลยไม่ต้องไปนั่งหนาวสั่นในห้องแอร์ เพราะกว่าจะหาที่หลบฝนได้เราสองคนก็เปียกปอนกันสุดๆ แล้ว นี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่เราได้อุดหนุนร้านที่มีชื่อเสียงก้องโลก ปรกติแล้วจะไม่ย่างกายเข้าใกล้เลย

 

ตกกลางคืนก็ได้ไปเดินตลาดโต้รุ่งทุ่งสง ที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรม แต่เป็นการเดินชมที่ค่อนข้างรีบร้อน ต้องรีบซื้อ รีบชม เพราะสายฝนเริ่มโปรยปรายมาให้ชุ่มฉ่ำอีกครา

เช้าวันต่อมาเราลาจากทุ่งสงและฟ้าฝนเย็นฉ่ำโดยการยกสองล้อขึ้นรถไฟ มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปยังเป้าหมายต่อไปของเรา แล้วเราก็รู้ว่าในช่วงเวลาสองอาทิตย์ต่อไป ใจเราต้องถวิลหาสายฝนอันเย็นฉ่ำกันมากมายเพียงใด

ป.ล. สำหรับคนที่บอกว่าไม่ได้เที่ยวไหน ไม่มีเวลาเที่ยว ขอให้มาลองปั่นจักรยานเที่ยวดู เริ่มแรกก็วนเวียนแถวบ้าน ถนนหลัง ซอกซอย ทั้งที่เคยผ่านไปมาบนยานพาหนะที่ไม่เป็นมิตรต่อโลก  หรือที่ยังไม่เคยเยื้องกายผ่านไปเลย ทั้งที่มันอยู่แค่เอื้อมนี่เอง! ขอให้ลองเจียดเวลาสักชั่วโมงต่อวันหรือต่ออาทิตย์ มาออกแรงขา หมุนสองล้อ พาตัวเองไปเสพความงามของท้องถิ่นที่ตนอาศัย (แต่ไม่รู้จักลึกซึ้ง) แล้วจะได้รู้จักกับการท่องเที่ยวอีกแบบที่ไม่ธรรมดา

 

โปรดติดตามปั่นเที่ยวไทยกับอ้อยหวานในตอนต่อไป

อ่านปั่นเที่ยวไทยตอนที่แล้วได้ที่นี่

รางวัลแด่คนช่างฝัน

ปั่นจักรยานทัวร์ริ่ง มันปิ้ง ปิ้ง จริงๆ นะ

 

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

 

ขอบคุณค่ะ

 

อ้อยหวาน


ถามหาความทรงจำที่ราชบุรี

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

อ้อยหวานลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย เพราะนอนหลับไม่เต็มที่ ความคิดแวบแรกที่เข้ามา คือ ถึงแล้วเหรอ ถึงแน่นะ  พนักงานรถไฟมาปลุกเราให้ลุกขึ้นเตรียมตัว และช่วยยกสองล้อทั้งสองคันมาไว้ตรงประตู อ้อยหวานกระซิบถามคุณผู้ชายว่ากี่โมงเนี๋ยฟ้ายังมืดมิดอยู่เลย แล้วต้องร้อง ‘โอ้มายก็อด’ อยู่ในใจ เมื่อได้ยินคำตอบ นี่เป็นครั้งแรกที่ รฟท ตรงต่อเวลา เกิดอะไรขึ้น

เมื่อโบกมืออำลาขบวนรถไฟที่มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง นาฬิกาที่แขวนอยู่เหนือชานชาลา สถานีราชบุรี บอกเวลา 3.05 น. ตรงกับเวลาที่ระบุไว้บนตั๋วพอดิบพอดีไม่ขาดไม่เกิน ก็ต้องร้องว้าวอีกครั้งรฟท เปลี่ยนไป!!!

เราหันรีหันขวาง ยืนงงงวยอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจกันว่า ตีสามก็ตีสาม เราปั่นออกไปยังที่พักที่จองไว้ แล้วค่อยคิดกันว่าจะทำไรดีในวันนี้ แล้วมารู้ทีหลังว่าได้พลาดกับ คนไปรอรับแบบเซอร์ไพรส์ ที่ไม่รู้ว่ารฟท เปลี่ยนไป!!! เลยสวนทางกัน โอกาสหน้ายังมีหวังว่าเราคงจะได้พบกันนะค่ะ จากแผนการแรกที่วางไว้ว่าจะปั่นไปดำเนินสะดวก แต่เพราะนอนไม่พอ เราสองคนไม่อยู่ในสภาพพร้อมปั่นทางไกลไปกลับ 40 กว่ากิโลได้ เลยต้องทิ้งสองล้อไว้ที่โรงแรม แล้วนั่งรถตุ๊กตุ๊กไปแทน เมื่อไม่ปั่นจักรยานไปเองก็เหมือนกับผูกขาดการเดินทางของเราไว้กับคนขับรถตุ๊กตุ๊กที่ทางโรงแรมจัดให้ สนนราคาค่อนข้างแพงทีเดียว เพราะโรงแรมอยู่ห่างจากตลาดมาพอสมควร เราไม่สามารถไปเดินออกไปหารถได้เอง จึงต้องจำยอมเป็นหมูขึ้นเขียง

 

ตลาดน้ำดำเนินสะดวกเมื่อ 28 ปีก่อน ที่ประทับใจเราไม่รู้เลือน คือภาพตลาดที่มีชีวิต มีลมหายใจอยู่จริง พ่อค้าแม่ค้าที่สัญจรไปมาก็ของจริง เราล่องเรือผ่านร่องสวน ได้ขึ้นไปชมสวนเขียวขจี ชาวสวนใจดีเก็บผลไม้ยื่นให้เราชิม คนขับเรือชี้ชวนให้ดูผัก ผลไม้ และข้าวของต่างๆ ในเรือที่พายอยู่ข้างๆ

 

ตี่นเถิดอ้อยหวาน..เธอฝันเฟื่องเกินไป เพราะภาพข้างหน้า ตลาดน้ำดำเนินสะดวกในวันนี้ กลับตรงกันข้ามจากความทรงจำอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ตลาดน้ำดำเนินสะดวกในวันนี้เป็นการสร้างฉากขึ้นเพื่อหลอกเอาเงินนักท่องเที่ยว

กิจกรรมการนั่งเรือพาย กลายมาเป็นการชมร้านค้าเรือนสังกะสีที่ตั้งเรียงรายสองฝั่งคลอง ส่วนใหญ่จะขายของที่ระลึก ราคา 600 บาทในเวลาไม่ถึง 20 นาที อ้อยหวานเอ่ยปากถามลุงคนพายเรือว่าเท่านี้หรือ คำตอบคือ เท่านี้ละครับ

 

เราเดินออกมาจากภาพจัดฉากอย่างผิดหวัง แล้วค่อยๆ เดินเลาะเลียบคลองไปตามทางเดินและสะพานที่เชื่อมถึงกันไปเรื่อยๆ แล้วเราก็มาพบกับตลาดน้ำเล็กๆ อีกแห่งที่ดูเหมือนเวลาได้หยุดอยู่กับที่ ทางเดินและร้านค้าไม้ที่ดูเรียบๆ และเก่าแก่ แม้ร้านรวงยังปิดประตูกันเงียบเชียบ แต่ในคลองมีเรือขายของอยู่หลายลำ เรือขนมหวาน เรือผลไม้ ไม่ใช่เรือขายของฝากราคาถูก แล้วอ้อยหวานก็หันไปบอกคุณผู้ชาย ฤานี่คือตลาดน้ำในความทรงจำ ตลาดแห่งนี้มีชื่อว่า ตลาดน้ำเหล่าตั๊กลัก หรือตลาดน้ำปากคลองลัดพลี

 

เมื่อกลับมาหาอ่านข้อมูลในอินเทอร์เน็ทก็แน่ใจว่านี่แหละใช่เลย! ตลาดน้ำในความทรงจำของอ้อยหวาน

ตลาดน้ำจีน "เหล่าตั๊กลั๊ก"เป็นชุมชนชาวจีนตั้งแต่ครั้งเมื่อเริ่มขุดคลองดำเนินสะดวก ประมาณปี พ.ศ. 2409-2411 โดยชาวจีนซึ่งเป็นแรงงานหลักในการขุดคลองในครั้งนั้น ได้ตั้งรกรากอยู่ริมสองฝั่งคลอง จวบจนเมื่อการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้นำภาพของ "ตลาดน้ำปากคลองลัดพลี"ออกเผยแพร่แก่สายตานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2510 ตลาดน้ำปากคลองลัดพลี ในฐานะของ "ตลาดน้ำดำเนินสะดวก"จึงได้มีชื่อเสียงโด่งดังมาจนถึงปัจจุบัน

ตลาดน้ำที่ปากคลองลัดพลีเป็นตลาดน้ำชุมชนไทยจีน หรือที่เคยเรียกกันว่าตลาดน้ำ "เหล่าตั๊กลั๊ก"ที่แปลเป็นภาษาไทยว่า"ตลาดน้ำเก่า"เนื่องจากตลาดน้ำ "เหล่าตั๊กลั๊ก"เป็นตลาดน้ำดำเนินสะดวกดั้งเดิม ก่อนที่จะมีขยายตัวไปพื้นที่ "ตลาดน้ำดำเนินสะดวก"ในปัจจุบัน ซึ่งหลังจาก ตลาดน้ำดำเนินสะดวกได้ย้ายจากสถานที่เดิมบริเวณปากคลองลัดพลี ไปอยู่ในสถานที่ใหม่ มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เดินทางมาท่องเที่ยวอย่างหนาแน่นในทุก ๆ วัน ทำให้ ตลาดน้ำเก่า หรือเรียกเป็นภาษาจีนท้องถิ่นแต้จิ๋วว่า "เหล่าตั๊กลั๊ก"เงียบเหงาลงไปอย่างถนัดตา

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ตลาดน้ำดำเนินสะดวกเก่า หรือ ตลาดน้ำเหล่าตั๊กลัก หรือ ตลาดน้ำปากคลองลัดพลี ได้ที่นี่และ ที่นี่ ขอบคุณค่ะ

 

เราซื้อไอศครีมกะทิสดจากแม่ค้าในเรือลำเล็ก นั่งทานกันเงียบๆ บนระเบียงไม้ริมน้ำ รอบๆ ดูเงียบเหงา แต่เราก็รู้ว่าไม่ใช่การจัดฉาก ร่องรอยก่อนเก่ายังไม่เลือนหาย มีให้เห็นตรงโน้นนิด ตรงนี้หน่อย เดินชมอีกนิดแล้วก็ถึงเวลาโบกมืออำลา ในใจก็มีคำถามขึ้นมา อนาคตข้างหน้าจะมีสถานที่ที่มีบรรยากาศเก่าๆ แท้ๆ หลงเหลือให้ลูกหลานได้ชมหรอกหรือ?

 

แม้ตลาดน้ำเหล่าตั๊กลัก หรือ ตลาดน้ำปากคลองลัดพลี จะเงียบเหงากว่ามาก แต่นี่แหละคือ ตลาดน้ำในความทรงจำของอ้อยหวาน

 

ชาติที่แล้วคงติดหนี้คนขับรถตุ๊กตุ๊กไว้มาก นอกจากจะโดนโขกค่ารถที่แสนแพงแล้ว เรายังถูกหลอกอีกด้วย อ้อยหวานบอกสถานที่ต่อไปกับคนขับรถว่า เราต้องการไปชมโรงทำโอ่งของราชบุรีมีชื่อภาษาจีนที่จำได้ยากมาก คุณคนขับรถกลับพาไปที่นี่ พอลงจากรถอ้อยหวานก็ท้วงว่า ใช่หรือ ทำไมไม่ใช่ชื่อจีน คนขับรถก็ยังยืนยันว่าใช่ ไม่รู้ว่าได้ค่านายหน้าเท่าไร ‘เอาเถอะ’ อ้อยหวานบอกกับคุณผู้ชาย ขี้เกียจสู้รบตบมือ เพราะเหนื่อยเหลือเกิน

นี่คืออีกเหตุผลหนื่งที่ทำให้อ้อยหวานรักการปั่นจักรยานเที่ยวเป็นหนักหนา ไปด้วยกำลังขาของตัวเอง เห็นท่าไม่ดี เช่น คนเยอะ สถานที่ไม่ดี ไม่ถูกใจโก๋ ก็ปั่นหนีเข้าป่าไปเลย ไม่ต้องง้อใคร

 

บ่นมาเสียยาว ไหนๆ ก็ไปถึงโรงโอ่งแล้ว ก็เข้าไปชมกันหน่อย ถึงที่นี่จะไม่ใช่ชื่อจีนอย่าง โรงงาน “ เถ้า ฮง ไถ่” โรงงานกลับมีชื่อไทยแท้ว่า "โรงโอ่งรัตนโกสินทร์"อ้อยหวานคิดว่าราชบุรีคงมีโรงงานทำโอ่งแบบนี้มากมาย แค่โรงโอ่งรัตนโกสินทร์ก็มี 1-4 แห่ง อ่านประวัติดูแล้วก็รู้ว่าแต่ละโรงงานแตกหน่อมาจากโรงงานเถ้าเซ่งหลี โรงงานเก่าแก่ดั้งเดิมกันเกือบทั้งนั้น

 

กว่าจะมาเป็นโอ่ง

ขั้นตอนการทำโอ่งมังกรแบบคร่าวๆ

ขั้นตอนที่  1 การเตรียมดิน นำดินมาหมักไว้ในบ่อดิน  แช่น้ำทิ้งไว้  ๑  สัปดาห์ เพื่อให้น้ำซึมเข้าในเนื้อดินให้ดินอ่อนตัวทั่วถึงกันและเป็นการทำความสะอาดดินไปในตัวด้วย  หลังจากนั้นตักดินขึ้นมากองไว้  แทงหรือตักดินด้วยเหล็กลวดให้เป็นก้อน  นำเข้าเครื่องโม่หรือเครื่องนวดเพื่อให้เนื้อดินเข้ากัน  

 

ขั้นตอนที่  2 การขึ้นรูปหรือการปั้น  แบ่งออกเป็นสามส่วน  คือ

ส่วนขาหรือส่วนก้น ส่วนลำตัว และส่วนปากโอ่ง

ขั้นตอนที่  3 การเขียนลาย ต่อจากนั้นก็นำไปเคลือบและเผา

อ่านฉบับเต็มๆ ได้ที่ โอ่งราชบุรีทำไมต้องเขียนลายมังกร

ขอบคุณค่ะ

 

การปั้นส่วนลำตัว เป็นงานที่ต้องใช้กล้ามแขนจริงๆ

 

โอ่งที่ปั้นเสร็จ รอการเขียนลาย แล้วนำไปเผา

 

ในปัจจุบันนี้โรงงานโอ่งของราชบุรีไม่ได้ทำแต่เฉพาะโอ่งแล้ว แต่ละโรงงานต่างก้าวเท้าให้ทันโลก มีการทำถ้วยโถ โอชาม กระโถนกระถาง ของแต่งบ้าน ของที่ระลึก ไปจนถึงมนุษย์ต่างดาว แต่ที่โรงโอ่งรัตนโกสินทร์ นี้ไม่มีมนุษย์ต่างดาวให้ดูนะ ต้องไปดูที่โรงงาน “ เถ้า ฮง ไถ่” ที่อ้อยหวานไม่ได้ไปชม

 

ไม่มีมนุษย์ต่างดาว แต่มีมนุษย์โยคะ

 

โอ่งสีสวย

โชคดีจัง!! ที่เที่ยวกับจักรยาน และบ้านอยู่ไกล ไม่งั้นต้องมีเสียตังส์ เพราะได้ยินคนที่มาด้วยบอกว่าชอบหมดเลย

 

ตกเย็นของวันนี้เรามีนัดทานข้าวเย็นกับเจ้าถิ่น หลังจากกลับมานอนเอาแรงในช่วงบ่าย น้องตุ๊กกับน้องเบิร์ดก็มารับเราสองคนที่โรงแรม มาพาไปพบกับเซอร์ไพรส์อีกกลุ่มใหญ่ ต้องขอขอบคุณทุกคนที่สละเวลามาพบกัน ซึ้งใจเลย โดยเฉพาะน้องๆ ที่ต้องขับรถมาไกลจากกรุงเทพ ขอบคุณจริงๆ

 

หลังอาหารเย็นยังได้ไปเม้าท์กันต่อที่บ้านน้องผิงผิง บ้านติดโคมไฟสวยมาก ขอบคุณอีกครั้งสำหรับน้ำโซดามะนาวที่เย็นชื่นใจ

วันรุ่งขึ้นเราทำเมินกับอาหารเช้าที่โรงแรม เก็บข้าวของแล้วลาจากราชบุรีไปก่อนตะวันยอแสง คงมีสักวันที่จะได้กลับมาถามหาความทรงจำอีกครั้งนะราชบุรี โดยเฉพาะที่ดำเนินสะดวกเพราะที่ระหว่างที่นั่งบนรถตุ๊กตุ๊ก อ้อยหวานสุดเสียดายที่ไม่ได้มากับจักรยาน บรรยากาศที่ดำเนินสะดวกน่าปั่นจักรยานเที่ยวจริงๆ

 

โปรดติดตามปั่นเที่ยวไทยกับอ้อยหวานในตอนต่อไป

อ่านปั่นเที่ยวไทยตอนที่แล้วได้ที่นี่

รางวัลแด่คนช่างฝัน

ปั่นจักรยานทัวร์ริ่ง มันปิ้ง ปิ้ง จริงๆ นะ

หอมกลิ่นไอฝน ยลความงามสีเขียว ณ.เชิงเขานครศรีธรรมราช

 

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

 

ขอบคุณค่ะ

 

อ้อยหวาน

เยือนถิ่นตะนาวศรี ดินแดนแห่งขุนเขา ณ.สวนผึ้ง

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

ทริปปั่นจักรยานตามเก็บฝันของอ้อยหวานครั้งนี้เน้นภูเขา ไม่ใช่ว่าจะปั่นเก่ง หรือชอบพิชิตยอดเขาหรอกนะ แต่อ้อยหวานชอบวิวที่มากับภูเขา

 

ภาพแนวภูเขาที่ทอดยาวดุจกำแพงสูงใหญ่ กำแพงธรรมชาติอันเขียวชอุ่มที่คอยดักสายหมอกและปุยเมฆ ปั่นจักรยานไปในหุบเขา ได้ยินเสียงร้องเรียกจากพงไพร สูดดมกลิ่นหอมอวลของมวลไม้  มันเป็นภาพที่งดงามจริงๆ

 

เทือกเขาตะนาวศรี มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปแต่ละท้องถิ่น เช่นชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า Tenasserim Range ภาษาพม่าที่อ้อยหวานเอามาอ่านออกเสียงเองว่า ‘ตะนี้นตะยี ตาวดัน’ (tənɪ̀ɴθàjì tàʊɴdáɴ) เดาอีกแล้ว!! ผิดถูกเช่นไร รอคนรู้จริงมาบอกแล้วกัน ส่วนที่มาเลเซียเขาเรียกกันว่า ตะนา สะรี (Tanah Sari) เป็นเทือกเขาที่กั้นพรมแดนระหว่างไทยกับพม่า ทอดตัวยาวจากเทือกเขาฉานทางเหนือของพม่า แล้วลากยาวไปทางภาคใต้ของประเทศไทย ผ่านคอคอดกระ ไปจนถึงสุราษธานี ส่วนชื่อภาษาอังกฤษที่ว่า Tenasserim Range นั้น จะรวมเอาเทือกเขานครศรีธรรมราชและเทือกเขาสันกาลาคีรี ที่อยู่สุดชายแดนใต้ไว้ด้วย

ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย

 

เทือกเขาตะนาวศรี ณ สวนผึ้ง

อ้อยหวานได้ยินกิตศักษ์ของสวนผึ้งจากบล็อกนักปั่นไทยหลายบล็อก และได้เห็นทิวทัศน์ของสวนผึ้งผ่านสื่อนานาชนิด สวนผึ้งเธอมีรูปโฉมหลากหลายรูป บางภาพเธอมีทิวเขางดงามสลับซับซ้อน เดี๋ยวเธอก็มีจักรยานแล่นผ่านถนนภูเขาเขียวขจี เดี๋ยวเธอมีน้องแกะ น้องแพะ หรือมีแม้กระทั้งอัลพาก้าวิ่งเล่นกันบนทุ่งหญ้าสีเขียว อีกรูปหนึ่งเธอสลัดโฉมเป็นสาวเมืองนอกนานาชาติ เวณิสบ้าง ฝรั่งเศสก็มี บางภาพของเธอเหมือนหลุดไปอยู่ยุคหิน อะไรจะขนาดนั้น!!    

เพื่อนร่วมทางของอ้อยหวานเห็นรูปโฉมต่างๆ ของสวนผึ้ง ก็เอ่ยปากถามว่าจะไปทำไม เพราะสิ่งเรานั้นไม่ใช่แนวเรา คือไม่เป็นธรรมชาติ ผิดที่ผิดทาง ซึ่งนักท่องเที่ยวไทยหลายคนอาจจะชอบ เพราะสวนผึ้งมีนักท่องเที่ยวเห่กันมาออกตรึม!! ส่วนอ้อยหวานสนใจสวนผึ้ง เพราะเห็นสวนผึ้งรงณรงค์กิจกรรมปั่นจักรยานเที่ยว และสวนผึ้งก็อยู่ในถิ่นตะนาวศรี

ว่าแล้วต้องตามไปดูให้เห็นแก่ตา ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอำเภอสุดชายแดนของประเทศไทย

  

เราปั่นจักรยานออกจากราชบุรีโดยเลาะเลียบผ่านถนนหลัง ซอกแซกผ่านทุ่งนา และไร่สวน ถ้าไม่มี  gps จากโทรศัพท์มือถือของคุณผู้ชาย ก็คงต้องหลงทางเป็นแน่ อากาศในตอนเช้าบริสุทธิ์ สดชื่นจริงๆ แสงเช้าทำให้ได้รูปสีอ่อนโยน สวยใส

 

ขนาดปลายทางของวันนี้ยังอีกยาวไกล แต่เราก็อดไม่ได้ที่จะหยุดถ่ายรูปกันบ่อยๆ

 

ระหว่างทางผ่านสวนลำใยก็หยุดอีก

 

กำลังออกดอกพราว ส่งกลิ่นหอมอบอวลมาแต่ไกล

 

แล้วเราก็ต้องดีใจที่หยุดเก็บรูปมาตลอด เพราะหลังจากนั้นเราต้องปั่นกันบนถนนสาย 3208 ที่มีรถค่อนข้างมาก และ…..

 

มี...ป้ายโฆษณาอยู่มากมายมหาสาร  ทั้งป้ายโฆษณาโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร หรือแม้แต่ป้ายเชิญชวนทอดกฐินของวัดตามรายทาง แต่ละแห่งติดป้ายกันเป็นสิบๆ ป้ายไปตลอดทาง เกือบทุกๆ กิโลเมตร ยิ่งถึงสวนผึ้งป้ายก็ยิ่งเยอะขึ้นทวีคูณ สงสารเธอจังสวนผึ้ง หากเธอเป็นสาวสวย เธอต้องน้ำตานองหน้า แล้วร้องว่า ‘วาย มี’ (Why me) ทำไมถึงต้องเป็นเรา

 

แผนที่เส้นทางของวันนี้ จากราชบุรีสู่สวนผึ้งเป็นระยะทาง 68.8 กิโลเมตร จะเห็นได้ว่าจะค่อยๆ ลาดขึ้นเนิน

 

เราไม่ได้แวะชมสถานที่ฮิปๆ ของสวนผึ้ง รูปนี้อ้อยหวานให้เลนส์ซูมเอาจากริมถนน วันนั้นอุณหภูมิเหนือ 30 องศานิดนิด ที่จริงก็เหนือ 30 องศานิดนิดทุกวัน เราปั่นเที่ยวอยู่ในเทือกเขาตะนาวศรีกว่าสองอาทิตย์ ไม่มีวันไหนที่อากาศจะเย็นกว่านี้เลย เห็นแล้วสงสารน้องแกะ ลองนึกดูว่าต้องใส่เสื้อหนาวบุนวมหนาๆ แล้วมายืนตากแดดกลางแจ้งแบบนี้ แกะที่เมืองนอกเขาจะโกนขนออกจนติดหนังในฤดูร้อน แต่มันก็ดูไม่น่ารัก เรียกแขกไม่ได้

 

ในวันต่อมา เส้นทางของเราเริ่มคดโค้งขึ้นเนินเขา วกวน ซอกแซกอยู่ในหุบเขาตะนาวศรี ถนนสายนี้มีรถมากพอสมควร แล้วจู่ๆ เราก็มาเจอกับภาพที่ไม่ได้เห็นกันบ่อยๆ รูปปั้นสูงใหญ่ของเจ้าแม่กวนอิมยืนเคียงข้างรูปปั้นพระพิฆเนศ เทพเจ้าของอินเดีย เราไม่ได้แวะชม เพราะลงไปแล้วต้องปีนกลับขึ้นมาอีก อ้อยหวานหยุดเก็บภาพนี้ แต่คนมาด้วยปั่นเลยไปไกลโขแล้ว

 

เห็นไหมมีป้ายโฆษณาอย่างนี้ไปตลอดทางเลย เห็นแล้วเศร้าใจ!!

คำว่า "สวนผึ้ง"มีเรื่องราวมาจากพื้นที่โดยทั่วไปของอำเภอมีสภาพ แวดล้อมประกอบด้วย ธรรมชาติ ป่าไม้ เทือกเขา และมีต้นไม้ชนิดหนึ่งที่ชาว บ้านเรียกว่า “ต้นผึ้ง"ซึ่งเป็นต้นไม้ที่มีสีขาวนวลไม่มีเปลือกกะเทาะ หรือลอกให้เห็น และที่สำคัญคือจะมีผึ้งจำนวนนับแสนนับล้านตัวมาอาศัยทำรัง บนต้นผึ้ง

ขอบคุณข้อมูลจากดับเบิ้ล เอ็นจอย

 

ภาพต้นผึ้งของสวนผึ้ง

ขอบคุณภาพจากASTVผู้จัดการออนไลน์

 

ต้นตรงกลางที่มีลำต้นต้นสีขาวเทา อ้อยหวานคิดว่าน่าจะใช่ต้นผึ้ง

 

เลยไปอีกหน่อยเป็นสวนกล้วยไม้ อยู่ติดถนนไม่ต้องลงเนิน เลยได้แวะชม สวนผึ้งออร์คิด ค่าเข้าชมคนละ 20 บาท แต่ลุงเจ้าของสวนเอาเงินมาคืนให้ แล้วพูดบอกว่าปั่นจักรยานมาให้เข้าชมฟรี เห็นไหมปั่นจักรยานเที่ยวมีข้อดีหลายอย่าง

 

สีหวานสวยเชียว

 

ทางขึ้นเขาลงเนินตลอด พอสายหน่อยแสงแดดก็เริ่มแผดเผา แต่ละเนินก็ไม่ใช่ย่อยนะ เราก็ปั่นขึ้นมาได้ทุกเนิน จนกระทั้งมาถึงเนินนี้  มันช่างทอดขึ้นยาวๆๆ ไกลๆๆ เราลงเข็นกันตั้งแต่เริ่มขึ้นเขามาได้หน่อยเดียว แล้วก็อ้อยหวานเห็นตัวอะไรคลานอยู่เต็มถนน จนต้องร้องบอกคุณผู้ชายว่า แย่แล้ว!! เดี๋ยวโดนหมาหมู่รุมทึ้งแน่ๆ พอเข้ามาใกล้หน่อยถึงรู้ว่าเป็นฝูงลิง คงมีคนที่ขับรถผ่านไปมาเอากล้วยมาเลี้ยงลิง พวกลิงเลยยกพวกมาดักรอกันตรงนี้ โชคดีที่มีรถแจกกล้วยผ่านมาพอดี กลุ่มลิงเจ้าถิ่นก็เลยหันเหความสนใจจากเราไปสนใจกล้วยแทน ในรูปนี้อ้อยหวานหันกลับไปเก็บรูปฝูงลิง เนินเขาในรูปดูชันน้อยกว่าของจริงมากมาย

เข็นสองล้อขึ้นมาถึงจุดสูงสุดของเนินเขา เรามาพบกับรีสอทแห่งนี้ สอบถามราคาห้องพัก แล้วพอรับได้ เราก็จอดตรงนี้แหละ วันนี้เอาแค่นี้ก่อน ปั่นต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ เนินลูกนี้มันชันเหลือใจ

 

แล้วก็พบว่าที่พักของเราในวันนี้ ก็เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวแปลกๆ ของสวนผึ้ง ที่มีทั้งสนามกอล์ฟ สวนน้ำแบบสวนสนุก และร้านกาแฟ ไม่แน่ในอนาคตอาจจะมีแกะวิ่งเล่นกันกลางสนามกอล์ฟ

มีทุกสิ่งสำหรับครอบครัว แบบคุณพ่อมาตีกอล์ฟ คุณลูกไปเล่นน้ำ ส่วนคุณแม่ก็นั่งจิบกาแฟชมวิว แต่เราสองคนนอนหลับหมดแรงไปตลอดบ่าย โผล่หน้าออกมาชมวิวก็บ่ายคล้อย สองรูปข้างบนอ้อยหวานเก็บรูปในเช้าวันถัดมา ก่อนที่จะโบกมืออำลาสวนผึ้ง

 

แผนที่เส้นทางของวันนี้ ระยะทางเพียง 26 กิโลเมตร ที่มีแต่ขึ้นๆๆ จะเห็นได้ว่าอยู่ในหุบเขาแคบๆ และติดชายแดนพม่าจริงๆ

 

โปรดติดตามปั่นเที่ยวไทยกับอ้อยหวานในตอนต่อไป

อ่านปั่นเที่ยวไทยตอนที่แล้วได้ที่นี่

 

รางวัลแด่คนช่างฝัน

ปั่นจักรยานทัวร์ริ่ง มันปิ้ง ปิ้ง จริงๆ นะ

หอมกลิ่นไอฝน ยลความงามสีเขียว ณ.เชิงเขานครศรีธรรมราช

ถามหาความทรงจำที่ราชบุรี

 

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

 

ขอบคุณค่ะ

 

อ้อยหวาน

เส้นทางในฝันแห่งตะนาวศรี

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

ไม่ว่าจะเดินขึ้นเขา หรือปั่นจักรยาน หรือแม้แต่เข็นจักรยานขึ้นเขา มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก หากใจมุ่งมั่น มันสอนให้เราอดทน แข็งแกร่ง และรางวัลที่ได้รับมันคุ้มค่ามาก เหมือนกับงานหนัก ที่ต้องตรากตรำ ต้องผ่านอุปสรรคมากมาย แต่เมื่อถึงยอดเขา... วิวบนนั้นสวยสุดใจ เป็นความงดงามของธรรมชาติที่ไปสัมผัสได้ด้วยสองขาของเราเอง แล้วบางครั้งความรู้สึกนั้นมันทำให้เราอยากร้องตะโกนให้ก้องฟ้าว่า ‘ฉันทำได้’

แล้ววันนี้เราได้รับรางวัลจากการปั่นและเข็นขึ้นเขากันมาทั้งสองวันเส้นทางในฝันของเทือกเขาตะนาวศรี เส้นทางที่สวยงดงามที่อ้อยหวานและเพื่อนร่วมทางใฝ่ฝัน และเมื่อพบแล้วก็ยังฝันที่จะกลับไปเยือนอีกครั้ง

 

เช้าวันนี้เราออกจากที่พักก่อนตะวันจะข้ามพ้นเหลี่ยมภูผา ปั่นลงเนินมาแค่ 200 เมตรก็มาพบรีสอทอีกหลายแห่งที่อยู่ติดๆ กัน แล้วมาเจอกับป้ายโฆษณาสุดท้ายของสวนผึ้ง เราแกล้งแซวกันเล่นว่า วิวสวยๆ ของสวนผึ้งอยู่ไหน? อ้อ..อยู่หลังป้ายนี่เอง!!

 

อ้อยหวานบอกกับคุณผู้ชายว่า ต่อไปนี้เส้นทางจะลงเขา จะปล่อยให้สองล้อไหลเลื่อนลงเขาให้สนุกไปเลย แต่ไม่ทันขาดคำ!! เลี้ยวโค้งข้างหน้าก็ต้องร้องจ๊ากส์!! ถนนคดเคี้ยววกวนขึ้นเขาอย่างกับพับผ้า เราเลยต้องลงเข็นจักรยานกันแต่เช้า ไม่เป็นไร อากาศยามเช้าเย็นสบาย ถือว่าเป็นการวอร์มกล้ามเนื้อขาก็แล้วกัน รูปนี้เข็นขึ้นเขามาครึ่งทางแล้วถ่ายรูปย้อนลงเขา ของจริงชันกว่าที่เห็นในรูปมาก

 

พ้นเนินเขาลูกนั้น จักรยานทั้งสองคันก็ข้ามเขตอำเภอสวนผึ้ง ราชบุรี มาสู่อำเภอด่านมะขามเตี้ย กาญจนบุรี เส้นทางก็ไหลลงเขาอย่างที่ใจหวัง สองข้างทางปกคลุมด้วยพรรณไม้น้อยใหญ่ หอมกลิ่นดอกไม้ป่าอบอวล ส่วนใหญ่จะเป็นต้นปีบป่า ที่ทั้งสูงทั้งใหญ่ ดอกขาวพราวเกาะอยู่บนกิ่งสูงๆ แต่กลิ่นหอมลอยต่ำมาให้คนเดินทางได้ดอมดม อยากหยุดสองล้อไว้ตรงนี้ แล้วไปนั่งสูดดมกลิ่นหอมหวานของปีบป่า แต่ผู้ร่วมทางเร่งรีบ เพราะวันนี้เป้าหมายอยู่ไกล และพยากรณ์อากาศในอินเตอร์เน็ทบอกว่าอาจจะถึง 35 องศา อ้อยหวานถอนหายใจ 30 องศาก็ย่ำแย่แล้ว 35 องศาคงเป็นจะเนื้อแดดเดียวแน่เลย

 

เส้นทางในฝันของนักปั่นจักรยาน..เส้นทางสีเขียวที่คดโค้งผ่านไร่อ้อยและมันสำปะหลัง กับวิวภูเขาเป็นฉากหลัง ทำให้อ้อยหวานนึกถึงเพลง WHAT A WONDERFUL WORLD...โลกนี้ช่างน่าอภิรมย์

…ฉันมองเห็นต้นไม้สีเขียวๆ

…ฉันมองเห็นท้องฟ้าสีฟ้าใส

แล้วฉันต้องปรารภกับตัวเองว่า…โลกนี้ช่างน่าอภิรมย์

 

บางช่วงก็เป็นไร่แครอท แปลงแครอททอดยาวสุดชายเขาเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก

 

มองไกลๆ คล้ายกับหน่อไม้ฝรั่ง แต่พอมาดูใกล้ๆ อ้อยหวานคิดว่าเป็บแครอท

 

พอพ้นเขตไร่สวนเราก็มาถึงบ้านหินสี ถ้าเลี้ยวซ้ายก็ไปยังน้ำตกสาธิต หนึ่งในหลายๆ น้ำตกของเมืองกาญจน์ เราเลี้ยวขวามุ่งตรงสู่กาญจนบุรี

 

บรรยากาศของเส้นทางในฝันก็เปลี่ยนจากไร่สวนไปเป็นป่าทึบเขียวชอุ่ม ได้ยินเสียงนกป่าร้องกันเซ็งแซ่ ถ้าไม่มากับจักรยานก็จะไม่ได้ยินหรอกนะ แค่ขับรถตบึงมาแต่ไกล ป่าทั้งป่าก็แตกกระจุยไปกันคนละทิศละทาง แถวนี้เราไม่ต้องออกแรงมากเพราะไหลลงเขาไปเรื่อยๆ

 

สำนักสงฆ์ป่าวิเวท ธรรมสถาน ริมอ่างเก็บน้ำ ( ห้วยยายทอง ) เป็นสถานที่ที่เงียบสงบมาก

 

ต้องเดินข้ามสะพานไปอีกฝากหนึ่ง เป็นสถานที่ที่เหมาะสมแก่การปรีกวิเวกจริงๆ เสียดายเราไม่ได้แวะเข้าไป

เพราะกลัวว่าจะไปรบกวนความสงบของสถานที่

 

หลังจากนั้นเราก็พ้นจากเขตภูเขา เส้นทางจากด่านมะขามเตี้ยสู่ตัวเมืองกาญจนบุรีจะมีแปลงผัก ไร่อ้อย และมันสำปะหลัง สลับกันไปตลอดทาง เราแวะกินไอศครีมกันที่อำเภอด่านมะขามเตี้ย ซึ่งช่วยบรรเทาร้อนได้มาก วันนั้นทั้งวันเราดื่มน้ำไปคนละสามขวดใหญ่ๆ แถมยังแวะเติมโค๊กเย็นๆ กันสองสามรอบ

 

คุณผู้ชายหาถนนหลังที่ซอกแซกผ่านไร่อ้อยอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ผ่านหมู่บ้านต่างๆ เราก็เลยไม่ต้องปั่นบนถนนใหญ่สู่ตัวเมืองกาญจนบุรี

 

ระหว่างทางเข้าตัวเมืองผ่านสุสานทหารสัมพันธมิตรช่องไก่ เราหยุดแวะชมและทำความเคารพต่อทหาเชลยศึกที่สูญเสียชีวิตในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ทั่วบริเวณเงียบสงบ ปราศจากนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เพราะส่วนใหญ่จะไปชมกันที่สุสานใหญ่

สุสานทหารสัมพันธมิตรช่องไก่ หรือสุสานทหารสัมพันธมิตรเขาปูนแห่งนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแควน้อย บริเวณท่าน้ำเมืองกาญจนบุรีห่างจากตัวเมืองไปทางแม่น้ำแควน้อยประมาณ 2 กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ 7 ไร่  เมืองสุสานทหารสัมพันธมิตรช่องไก่เคยเป็นที่ตั้งของค่ายเชลยศึกขนาดใหญ่ บริเวณสุสานสงบและสวยงาม มีขนาดเล็กกว่าสุสานดอนรัก บรรจุศพทหารเชลยศึกซึ่งส่วนใหญ่เป็นทหารอังกฤษ ประมาณ 1,740 หลุม ภายในมีการตกแต่งด้วยไม้ดอกไม้ประดับอย่างร่มรื่น

ขอบคุณข้อมูลจากการท่องเที่ยวไทย

 

แผนที่เส้นทางของวันนี้ 78 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 7 ชั่วโมง เพราะเราหยุดแวะกันบ่อยๆ นับเป็นวันที่เราปั่นเป็นระยะทางไกลที่สุดในทริปนี้ เราไปถึงโรงแรมที่เราพักในสภาพโทรมสุดๆ พรุ่งนี้จะเป็นวันพักสบายๆ ของเรา และจะตากแดดกันให้น้อยที่สุด

 

โปรดติดตามปั่นเที่ยวไทยกับอ้อยหวานในตอนต่อไป

อ่านปั่นเที่ยวไทยตอนที่แล้วได้ที่นี่

 

รางวัลแด่คนช่างฝัน

ปั่นจักรยานทัวร์ริ่ง มันปิ้ง ปิ้ง จริงๆ นะ

หอมกลิ่นไอฝน ยลความงามสีเขียว ณ.เชิงเขานครศรีธรรมราช

ถามหาความทรงจำที่ราชบุรี

 

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

 

ขอบคุณค่ะ

 

อ้อยหวาน

อดีต..กับ..ปัจจุบัน ที่กาญจนบุรี

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

อดีตคือบทเรียนราคาแพงสำหรับป้จจุบันและอนาคตของมนุษย์ชาติ แต่เราก็ไม่เคยสนใจบทเรียนจากอดีตเหล่านี้ มนุษย์เรายัง ‘ย่ำ’ และ ‘ย้ำ’ รอยเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก ประเภทเจ็บแล้วไม่จำ รอยร้าวในประวัติศาสตร์จึงเป็นเพียงเหตุการณ์หนึ่งที่ผ่านมา..แล้วผ่านไป ทิ้งอนุสรณ์สถานไว้ให้ดูต่างหน้า แต่ได้สอนใจ หรือสกิดใจมนุษย์ชาติในปัจจุบันหรือในอนาคตหรือไม่ คำตอบคงจะเห็นได้จากข่าวสารทั่วโลก

ฤา สันติภาพจะเป็นแค่ความฝันของใครสักคนหนึ่ง

หลังจาก วันอันยาวนานบนสองล้ออ้อยหวานกับเพื่อนร่วมปั่นก็วางแผนกันว่าวันนี้จะเป็นวันเบาๆ สบายๆ แต่วันพักก็ไม่ใช่การพักแบบนอนเอกเขนกอบร่ำแอร์เย็นๆ ไปเสียทีเดียว เช้าตรู่ของวันนั้นเราปั่นออกจากที่พักเพื่อไปชมสะพานที่โด่งดังระดับโลกก่อนที่นักท่องเที่ยวอื่นๆ จะแห่กันมาชม เราปั่นกันไปแบบสบายๆ ไม่เร่งรีบ เพราะสะพานข้ามแม่น้ำแควอยู่ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรีไปเพียง 4 กิโลเมตร กะกันว่าเดินชมสะพานเสร็จ ก็หาข้าวเช้าทานกันแถวๆ นั้น

สะพานข้ามแม่น้ำแคว ที่มีชื่อภาษาอังกฤษว่า The Bridge on te River Kwai เริ่มต้นเดิมทีนั้นมาจากวรรณกรรมฝรั่งเศสที่มีชื่อว่า Le Pont de la Rivière Kwai ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นในปี 1952 สองสามปีต่อมาผู้กำกับภาพยนตร์ยิ่งใหญ่ชาวอังกฤษ  เซอร์เดวิด ลีน ได้เอามาสร้างเป็นภาพยนต์ที่ยิ่งใหญ่ และมีชื่อเสียงโด่งดังมากในยุคนั้น ภาพยนต์ The Bridge on the River Kwai นี้ได้ส่งเข้าชิงรางวัลออสการ์ประจำ ปี 1957 จำนวน 8 สาขา และได้รับ 7 รางวัลได้แก่ ผู้กำกับยอดเยี่ยม นักแสดงนำชาย กำกับภาพ ตัดต่อ บทภาพยนตร์ดัดแปลง ดนตรีประกอบ และภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และจากภาพยนต์นี้เองที่ทำให้ชื่อเสียงของสะพานดังก้องโลก แต่สะพานในหนังนั้นถ่ายทำที่ประเทศศรีลังกา ไม่ได้ถ่ายทำในเมืองไทย โดยเฉพาะสะพานไม้ที่ออกแบบสร้างใหม่ให้ดูยิ่งใหญ่ ต่างจากของจริงจากภาพถ่ายในอดีตอย่างสิ้นเชิง ดูหนังตัวอย่างได้ ที่นี่

ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย

 

ความงามอันสงบเงียบของเช้าวันนี้ คงจะแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากอดีตวันวานเมื่อเจ็ดสิบกว่าปีก่อน

ประวัติ

สะพานข้ามแม่น้ำแควสร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรได้แก่ ทหารอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลีย ฮอลันดา และนิวซีแลนด์ ประมาณ 61,700 คน และกรรมกรชาวจีน ญวน ชวา มลายู ไทย พม่า อินเดีย อีกจำนวนมาก มาก่อสร้างทางรถไฟ สายยุทธศาสตร์เพื่อเป็นเส้นทางผ่านไปสู่ประเทศพม่า ซึ่งเส้นทางช่วงหนึ่งจะ ต้องข้ามแม่น้ำแควใหญ่ จึงต้องมีการสร้างสะพานขึ้น การสร้างสะพานและทางรถไฟ สายนี้เต็มไปด้วยความยากลำบาก ความทารุณของสงคราม และโรคภัย ตลอดจนการขาดแคลนอาหาร ทำให้เชลยศึกจำนวนหลายหมื่นคนต้องเสียชีวิตลง

ทางรถไฟสายมรณะสายนี้เริ่มต้นจากสถานีหนองปลาดุก อำเภอบ้านโป่ง จังหวัด ราชบุรี ผ่านจังหวัดกาญจนบุรี ข้ามแม่น้ำแควใหญ่ไปทางทิศตะวันตกจนถึงด่าน เจดีย์สามองค์ เพื่อให้ถึงปลายทางที่เมืองตันบูซายัดประเทศพม่า รวมระยะทางใน เขตประเทศไทย 300 กิโลเมตรใช้เวลาในการสร้างเสร็จเพียง 1 ปีตั้งแต่เดือนตุลาคมพ.ศ.2485 ถึงเดือนตุลาคมพ.ศ.2486 เพื่อใช้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ผ่านประเทศพม่า

ขอบคุณข้อมูลจากการท่องเที่ยวไทย

 

สันติสุขจงเจริญ…

อ้อยหวานขอฉลองเช้าแห่งวันสงบสุขที่ปราศจากสงคราม และนักท่องเที่ยวเป็นฝูง!! ด้วยการปั่นไปบนสะพาน แต่ส่วนใหญ่จะเข็นเพราะทางบนนั้นมีช่องโหว่ให้ชมน้ำอยู่มากมาย

 

วัดและรูปแกะสลักของพระโพธิสัตว์กวนอิม อยู่ฝั่งตรงกันข้าม ช่างเป็นรูปปั้นที่งดงามมาก ดึงดูดความสนใจของอ้อยหวานตั้งแต่อยู่บนสะพาน ว่าแล้วต้องตามไปดู

 

เดินข้ามไปสุดปลายสะพานเท่านั้นเองก็จะถึงสถานที่ปฏิบัติธรรม ของมูลนิธิกวงอิมสุนทรธรรม กาญจนบุรี หรือ วิหารพระโพธิสัตว์กวนอิม อ้อยหวานไม่แน่ใจว่าใช้ชื่อไหน ข้อมูลในเน็ทก็ไม่ค่อยจะมี อาจจะเป็นเพราะว่าเพิ่งสร้างเสร็จ เพราะทุกอย่างดูใหม่เอี่ยมและสวยงาม รูปแกะสลักของเจ้าแม่กวนอิม สูง 18 เมตร สลักด้วยหินหยกขาวจากประเทศจีน รวม 88 ชิ้น น้ำหนักรวม 220 ตัน ยืนบนฐาน 8 เหลี่ยม เป็นรูปแกะสลักที่งดงามมาก

 

รอบๆ บริเวณสงบ สะอาด

 

ตัวอาคารออกแบบและจัดวางอย่างน่าดูชม สระน้ำหรือบ่อน้ำที่ก่อเป็นรูปดอกบัวนั้นมีดอกบัวปลูกอยู่เต็ม ส่วนรอบๆ นอกจากจะมีต้นไม้ปลูกอยู่รายรอบแล้ว ยังมีคอลเล็คชั่นของชวนชมปลูกในกระถาง ตั้งวางอยู่โดยรอบ

 

และไม่ใช่มีอยู่แค่สิบยี่สิบกระถางนะจะบอกให้ มีเป็นร้อยเลยละ แฟนชวนชมอย่างอ้อยหวานได้เริงร่าอย่างเบิกบานใจ

 

ดูต้นนี้สิ สวยจริงๆ ใช้วิธี “กราฟติ้ง” (Grafting) หรือการเสียบกิ่ง..ทาบกิ่ง..ทำให้มีดอกหลากหลายสีในต้นเดียวกัน ดูวิธีทำได้ที่บล็อกเก่าแก่ของอ้อยหวานชวน..มาชม.. ชวนชม

 

ชวนชม หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า Adenium  แต่ชื่อที่นิยมเรียกคือ desert rose …กุหลาบทะเลทราย มีพันธ์ดั้งเดิมทั้งหมด 12 สายพันธ์ และลูกผสมอีกมากมาย

นี่ก็ลูกผสม

 

กลีบซ้อนก็มี สีหวานสวยเชียว

 

ภายในวิหาร

 

ชานระเบียงด้านหน้า เราใช้เวลาเดินชมและนั่งพักอยู่ที่นี่อยู่นาน ช่างเป็นสถานที่ที่สงบและสวยงามจริงๆ

 

สิงโตอารักขาหน้าวิหาร

 

สะพานข้ามแม่น้ำแคว มองจากลานพระโพธิสัตว์กวนอิม

 

คู่ขาปั่นของอ้อยหวานอยากสัมผัสประสบการณ์นั่งรถไฟสายมรณะ ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Death Railway

หลังจากแวะทานข้าวเช้าตรงร้านค้าแถวสะพานแล้ว เราก็ปั่นย้อนกลับเข้าเมืองไปยังสถานีรถไฟ เพื่อสอบถามข้อมูลและซื้อตั๋วรถไฟสำหรับวันรุ่งขึ้น ก่อนถึงสถานีรถไฟเราปั่นผ่านสุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก ก็เลยแวะหน่อยนึง

 

สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก เป็นสุสานที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2488 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง มีพื้นที่ประมาณ 17 ไร่ เป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านได้อุทิศให้เป็นสถานที่บรรจุศพทหารเชลยศึกบางส่วนที่ เสียชีวิตในระหว่างการสร้างทางรถไฟจากกาญจนบุรีไปถึงพม่า สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก เป็นหนึ่งในอีกหลายแห่ง ที่เป็นที่ฝังศพของผู้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์สร้างทางรถไฟแห่งนี้ ที่สุสานนี้มีหลุมศพถึง 6,982 หลุม เป็นศพของชาวต่างชาติ ที่เป็นเชลยศึก ชาวบ้านจึงเรียกกันติดปากว่า ป่าช้าอังกฤษ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสุสานนี้มีเฉพาะศพชาวอังกฤษ ยังมีเชลยศึกจากประเทศอื่นๆ ด้วยเช่น อเมริกา เนเธอร์แลนด์ และออสเตรเลีย

ขอบคุณข้อมูลจาก kanchanaburi.co

 

ไม่ว่านิยามของสงครามจะเปลี่ยนไปอีกกี่ร้อย ความหมาย แต่สิ่งที่เราทุกคนได้รับจากผลของสงครามคือ ความสูญเสีย การพลัดพราก ความหวาดกลัว ความสิ้นหวัง เสียงกรีดร้องร่ำไห้ และความสูญเสียทั่วทุกหย่อมหญ้า บาดแผลทางจิตใจสาหัสไม่แพ้บาดแผลตามร่างกาย แม้จะผ่านเวลามาหลายสิบปี หลายคนยังคงไม่ลืมภาพความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น สงครามคือเครื่องมือสู่สันติภาพ หรือสงครามคือความสิ้นหวัง?

จากบทความพิเศษโดย นันทยา ชุ้นสกุล

 

โปรดติดตามปั่นเที่ยวไทยกับอ้อยหวานในตอนต่อไป

อ่านปั่นเที่ยวไทยตอนที่แล้วได้ที่นี่

รางวัลแด่คนช่างฝัน

ปั่นจักรยานทัวร์ริ่ง มันปิ้ง ปิ้ง จริงๆ นะ

หอมกลิ่นไอฝน ยลความงามสีเขียว ณ.เชิงเขานครศรีธรรมราช

ถามหาความทรงจำที่ราชบุรี

เส้นทางในฝันแห่งตะนาวศรี

 

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

 

ขอบคุณค่ะ

 

อ้อยหวาน

 

ท่ามกลางหินผาในซอกหลืบของขุนเขาตะนาวศรี

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

Earth and sky, woods and fields, lakes and rivers, the mountain and the sea, are excellent schoolmasters, and teach some of us more than we can ever learn from books.

โลกและท้องฟ้า ป่าและทุ่งหญ้า ทะเลสาบและแม่น้ำ ภูเขาและทะเล เหล่านี้ล้วนเป็นครูที่ดีเยี่ยม ทำให้เราเรียนรู้ได้ดีกว่าเรียนรู้จากในหนังสือ

-John Lubbock

การอ่านหนังสือมากมายหลายสิบเล่มไม่เทียบเท่ากับการพาตัวเองออกไปผจญภัยและท่องเที่ยวในโลกกว้าง การอ่านเป็นเพียงการวางพื้นฐานความรู้น้อยๆ แต่การได้ไปยืนอยู่ตรงจุดนั้นๆ สายตาพลันมองเห็น จมูกสูดดมกลิ่น หูได้ยินเสียง กายสัมผัสสายลมไหว หันมองรอบกายมีแต่สิ่งสดใหม่ที่การอ่านไม่สามารถให้ได้  

 

อ้อยหวานรักอิสระเต็มร้อยของการปั่นจักรยานเที่ยว อิสระในการไปไหนมาไหน ซึ่งบางครั้งต้องขึ้นรถไฟ ลงเรือ จักรยานก็ไปด้วยได้ ไปถึงที่ก็ไม่ต้องง้อรถเท็กซี่หรือรถอะไรทั้งนั้น และที่สำคัญคือ จะปรับ และเปลี่ยน แผนการเดินทางก็ทำได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะปรับเปลี่ยนตามใจเรา คืออยากไปที่โน่นหยุดที่นี่และไม่หยุดที่นั่น หรือปรับเปลี่ยนตามใจ (ภู) เขา หรือสภาพรอบตัว เราก็มีอิสระที่จะปรับเปลี่ยนได้ และอิสระที่เป็นจุดสำคัญของการปั่นจักรยานเที่ยวคือ การได้นั่งบนสองล้อ ปั่นไปตามกำลังขา และตามใจฉัน สายลมไหวผ่านกาย

สัมผัสโลกกว้างที่อยู่ตรงหน้าได้เกือบเหมือนนกน้อยโผบิน มันเป็นอิสระเที่ยวที่ไร้เทียมทาน..

 

เช้านี้เราเก็บของและปั่นจักรยานออกจากที่พัก ในเวลาที่คนส่วนใหญ่ยังนอนหลับไหล  มุ่งตรงไปยังสถานีรถไฟกาญจนบุรี นับเป็นครั้งที่สองที่เราพาจักรยานนั่งรถไฟ แต่ก็ไม่ใช่รถไฟสายธรรมดาๆ นะ รถไฟสายนี้เรียกกันหลายชื่อเช่น ทางรถไฟสายพม่า (Burma Railway)  ทางรถไฟสายพม่า-ไทย (Burma–Siam Railway)  ทางรถไฟสายไทย-พม่า (Thailand–Burma Railway) และที่รูัจักกันแพร่หลายคือ ทางรถไฟสายมรณะ (Death Railway) ซึ่งเป็นชื่อที่ได้จากอดีตอันโหดร้ายทารุณและขมขื่นในการก่อสร้างรถไฟสายนี้   

 

อ้อยหวานขอแนะนำถ้ามาที่กาญจนบุรี อย่าลืมใส่โปรแกรมนั่งรถไฟสายนี้ไปด้วย เพราะสนุกเพลิดเพลินดีจริงๆ วิวสวยตลอดเส้นทาง

รถไฟรอบแรกสุดของวันออกจากสถานีต้นทางคือ สถานีชุมทางหนองปลาดุก เวลา 4.35 น. มาถึงสถานีกาญฯ 5.52 น. ถ้าพลาดขบวนนี้ก็ต้องรอไปจนถึง 10.25 น. เลยทีเดียว และแต่ละวันก็มีเพียงเที่ยวไปสามและเที่ยวกลับสามเที่ยวเท่านั้น เราต้องไปที่สถานีก่อนเวลาเพื่อซื้อตั๋วในราคาที่เท่าเทียมกัน ต่างชาติ 100 บาท คนไทยฟรี!! ระยะทางประมาณ 77 กิโลเมตร และใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง

ประวัติทางรถไฟสายมรณะสร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยรัฐบาลญี่ปุ่นขอยืมเงินจากรัฐบาลไทย จำนวน 4 ล้านบาท การก่อสร้างใช้เวลาในการสร้างเสร็จเพียง 1 ปี ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2485 ถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2486 เพื่อใช้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ผ่านประเทศพม่า หลังสงครามทางรถไฟบางส่วนถูกรื้อทิ้ง บางส่วนจมอยู่ใต้อ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณ์ ทางรถไฟสายนี้ถือเป็นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงเหตุการณ์สงครามในครั้งนั้น เนื่องจากน้ำพักน้ำแรงของการบุกเบิกก่อสร้าง เป็นของทหารเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ที่กองทัพญี่ปุ่นเกณฑ์มา

ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย

 

พอใกล้จะถึงสถานีถ้ำกระแซ ทิวทัศน์ตามรายทางก็เริ่มเปลี่ยนไป บริเวณนี้ส่วนใหญ่จะเป็นผาหิน มีการสร้างสะพานยาวประมาณ 450 เมตร ลัดเลาะไปตามเชิงผาสูง เลียบไปกับลำน้ำแควน้อย

อ่านรายละเอียดรวมทั้งการเดินทางและตารางเวลารถไฟสายมรณะ ได้ที่ kanchanaburi.co

 

ทางรถไฟมาสิ้นสุดปลายทางที่บ้านท่าเสาหรือสถานีน้ำตก เราแวะทานข้าวเช้ากันอีกมื้อที่สถานีน้ำตก กว่าล้อจะเริ่มหมุนอีกครั้งก็เข้ายามสาย เราสองคนไม่หวั่นใจกับเส้นทางคดโค้งขึ้นเขา แต่หนักใจกับอากาศร้อนที่พุ่งสูงถึง 35 องศาในวันนั้น จะเร่งรีบเช่นไรก็ยังเป็นเต่าคลานต้วมเตี้ยมอยู่ดี และเป็นเต่าที่กำลังจะละลายอยู่ริมถนน เพราะเส้นทางวันนี้มันโหดจริงๆ

 

เราแวะสถานที่ท่องเที่ยวแห่งเดียวในหลายๆ สถานที่ท่องเที่ยวบนเส้นทางนี้  คุณผู้ชายอยากแวะชมช่องเขาขาด  หรือช่องไฟนรก (Hellfire Pass) ชื่อภาษาอังกฤษที่ได้มาจากแสงไฟและเงาสะท้อนจากคบไฟ ที่จุดขึ้นสำหรับเหล่าเชลยที่ทำงานในเวลากลางคืน เงาวูบวาบที่ดูราวกับว่าเป็นเปลวเพลิงแห่งนรก

 

มีนักท่องเที่ยวมาชมกันมากมาย รถบัสคันโตจอดอยู่ในที่จอดรถเป็นสิบ-ยี่สิบคัน มิน่าละ ระหว่างทางรถเยอะยังกับมีงานมหกรรม แต่..เราต้องเข้าร่วมกลุ่มผิดหวังกับนักท่องเที่ยวเหล่านั้น เพราะเส้นทางเดินลงไปยังบริเวณช่องเขาขาดปิดซ่อม เดินไปเก็บรูปได้แค่ตรงปากทาง แม้พิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาดจะจัดอย่างสวยงามและน่าสนใจมากเพียงใด แต่จำนวนผู้เข้าชมมันมากมายจริงๆ เราถอยทัพขอยอมแพ้ออกมา  

 

และอ้อยหวานรักที่จะชมวิวทิวทัศน์ ยอดเขา และไร่สวนมากกว่า ไปแย่งกันชมกับคนเป็นฝูง

ดูไร่สตอร์เบอรี่นี้สิ ไม่รู้ว่าเขาใช้ใบอะไรคลุมดิน ดูเรียบร้อยสะอาดตามาก 

 

มาถึงนี้ก็จอดอีก ถ้าไม่ได้คู่ปั่นที่ใจเย็นอย่างคุณผู้ชาย ป่านนี้คงโดนทิ้งไปแล้ว

 

เส้นทางในวันนี้ช่างคดโค้ง ขึ้นเขาลงเนินอยู่ตลอด เป็นระยะ 65.9 กิโลเมตรที่แสนโหด บวกกับอากาศร้อนถึง 35 องศา มันช่างหนักหนาแสนสาหัส!! เพราะไปบ่นว่าใครไม่ได้ จำยอมก้มหน้าก้มตาปั่น และบ่อยครั้งต้องลงเข็นครก (จักรยาน) ขึ้นภูเขา ประจวบกับถนนสาย 323 นี้ มีรถวิ่งกันขวักไขว่ ทั้งรถบัสคันใหญ่ รถเมล์ รถบรรทุก และประการสุดท้ายที่เราเห็นพ้องต้องกันว่าเวรี่แบด!! (very bad) คือรถยนต์ป้ายทะเบียน กทม ขับรถกันซิ่งสุดเหวี่ยงเหมือนกับเก็บกด คงเป็นเพราะที่เมืองเทวดาไม่สามารถทำได้

 

เราไปถึงที่พักในสภาพร่อแร่ คุณผู้ชายถึงกับประกาศก้องว่า พรุ่งนี้จะไม่ไปไหน จะนอนดูสายน้ำไหล และ อบ ไอ แอร์ และไอหมอก ให้ชื่นฉ่ำไปเลย 

 

มวลดอกไม้อบร่ำสายหมอก

 

หลังจากได้พักอย่างจริงๆ จังๆ ไปหนึ่งวัน เช้าวันรุ่งขึ้นสองคนบนสองล้อก็ได้ทยานปั่นออกไปท่ามกลางสายหมอก เรื่องร้ายๆ ของวันก่อนเราลืมไปหมดสิ้น เราปรับเปลี่ยนเส้นทางของวันนี้ คุณผู้ชายได้ศึกษาแผนที่กูเกิ้ลอย่างละเอียด แล้วปรากฎว่าฟ้ายังปราณีเรา ยังมีถนนสายน้อยที่แล่นผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่ ป่าเขาลำเนาไพร คดเคี้ยว คดโค้ง ขึ้นลงยังกับลูกคลื่น แต่เป็นเส้นทางสุดสวย อีกหนึ่งเส้นทางที่เรายกนิ้วให้เป็น ‘เส้นทางในฝันของนักปั่นจักรยาน’ ถนนเลียบแม่น้ำแควน้อย ฝั่งตรงกันข้ามกับถนนสาย 323

 

(เข็น) ไต่ระดับความสูง

 

หยุดทุกที่ที่ใจอยาก

 

ภาพนี้คือภาพที่คุณผู้ชายหยุดเก็บภาพในรูปข้างบน ภาพทิวเขาสลับสับซ้อน มีเมฆหมอกคลอเคลียไปตามไหล่เขา ให้บรรยากาศสวยงามดุจภาพวาด ใครเล่าที่ไม่หลงไหล

 

เจ้าถิ่นยืนขวางถนน แต่รายนี้อ่อนโยนไม่วิ่งไล่งับคนบนจักรยาน

 

ท่ามกลางภูผาในซอกหลืบของขุนเขา

 

แผนที่เส้นทางในฝันของวันนี้ หินตาดสู่ทองผาภูมิ เลาะเลียบในซอกเขาตะนาวศรี ซ้ายขวาคือภูผา ด้านล่างลึกลงไปคือลำน้ำแควน้อย

 

ดอกไม้ริมทางสีม่วงสุดสวยกับเจ้าถิ่นจอมทรนง แต่อ่อนโยน  แม้จะไม่ทราบชื่อเรียงนามของเธอ (ดอกไม้) แต่พวกเธอก็ยืนเรียงรายริมเนินเขา คอยให้กำลังใจแก่นักปั่นที่กลายเป็นนักเข็น

 

โปรดติดตามปั่นเที่ยวไทยกับอ้อยหวานในตอนต่อไป

อ่านปั่นเที่ยวไทยตอนที่แล้วได้ที่นี่

รางวัลแด่คนช่างฝัน

ปั่นจักรยานทัวร์ริ่ง มันปิ้ง ปิ้ง จริงๆ นะ

หอมกลิ่นไอฝน ยลความงามสีเขียว ณ.เชิงเขานครศรีธรรมราช

ถามหาความทรงจำที่ราชบุรี

เยือนถิ่นตะนาวศรี ดินแดนแห่งขุนเขา ณ.สวนผึ้ง

เส้นทางในฝันแห่งตะนาวศรี

อดีต..กับ..ปัจจุบัน ที่กาญจนบุรี

 

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

ขอบคุณค่ะ

อ้อยหวาน

 

คืบก็ภูเขา ศอกก็ภูเขา ณ.ทองผาภูมิ

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

After climbing a great hill, one only finds that there are many more hills to climb.

หลังจากปีนขุมเขาอันสูงใหญ่ เราก็จะพบว่ายังมีภูผาอีกมากมายหลายลูก ที่เราต้องปีนข้าม

-Nelson Mandela

ความใฝ่ฝันของมนุษย์ทุกผู้คน ไม่ใช่จะได้กันมาง่ายๆ หลายต่อหลายครั้งที่เราต้องป่ายปีน ฟันฝ่า ดั้นด้นขึ้นสู่ภูเขาสูง สู่ความฝันอันยิ่งใหญ่ อย่างไม่ย่อท้อ และเมื่อปีนถึงยอดเขา..เราก็รู้ว่า ยังมีภูเขาที่สูงกว่าอีกมากมาย หลายคนที่มีความฝันที่ไม่มั่นคง ก็จะท้อแท้และเดินลงเขาไป แต่มีใครอีกหลายคนที่มองภูเขาสูง เหล่านั้นเป็นสิ่งท้าทายที่ช่วยผลักดันให้เขาเดินหน้าต่อไป..

เราทุกคนคงจะรู้จักเนลสัน แมนเดลา (Nelson Mandela) รัฐบุรุษอดีตประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ และอื่นๆ อีกมากมาย สำหรับอ้อยหวาน เขาคือนักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้แก่ชะตากรรมหรืออุปสรรคใดๆ

 

จากบล็อกที่แล้วหลังจากที่อ้อยหวานและคู่ปั่น ทั้งปั่นทั้งเข็น จนมาถึงจุดหมายของเรา คือทองผาภูมิ  อำเภอชายแดนเล็กๆ แล้วเราก็พบว่ายังมีภูผาอีกมากมายหลายลูก ที่เราจะต้องปีนข้ามจริงๆ!! ก็ทองผาภูมิ ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งทะเลภูเขา

 

สถานที่ท่องเที่ยวของทองผาภูมิมีอยู่มากมาย ซึ่งล้วนเป็นที่ต้องตาถูกใจผู้ถวิลหาธรรมชาติและการผจญทั้งนั้น ในเช้าของอีกวัน เราออกจากที่พักแต่เช้า มุ่งหน้าไปยังเขื่อนวชิราลงกรณ์ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า เขื่อนเขาแหลม นี่เป็นการเที่ยวเขื่อนครั้งแรกของอ้อยหวาน จากตลาดทองผาภูมิไปยังเขื่อนวชิราลงกรณเป็นระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร ถนนขึ้นลงเป็นลูกคลื่นน้อยๆ และรถราก็ไม่มากหนัก

 

ภายในอาณาเขตที่ทำการเขื่อนร่มรื่นน่าปั่นจักรยานเที่ยว ที่นี่มีบ้านพักของพนักงานอยู่มากมาย เราไปทันเวลาพระเดินรับบาตรกันพอดี คิดว่าคงเป็นพระจากวัดเขื่อนวชิราลงกรณที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม

 

ทางขึ้นสันเขื่อนชันได้ใจ ปั่นขึ้นได้ครึ่งทาง ก็ลงเข็นกันตามระเบียบ

 

บนสันเขื่อน เช้าวันนั้นหมอกลงจัด ขึ้นไปถึงก็มีแต่หมอกกับหมอก

เขื่อนวชิราลงกรณเป็นเขื่อนหินถมแห่งแรกของประเทศไทย ที่ดาดผิวหน้าด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ตั้งอยู่บนแม่น้ำแควน้อย สูง 92 เมตร สันเขื่อนกว้าง 10 เมตร ยาว 1,019 เมตร กั้นลำน้ำแควน้อย เป็นเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำเอนกประสงค์

ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย

 

สายหมอกกับภูเขาของที่นี่ ดูเหมือนกำลังหยอกล้อต่อกระซิก เคล้าเคลียกันประดุจคู่รักที่อินเลิฟกันมากๆ

 

ธรรมชาติและความงดงามแห่งขุนเขาท่ามกลางสายหมอก

 

ขาลงก็ได้เลื่อนไหลลง สนุกจริงๆ

 

สนามกอล์ฟเขื่อนวชิราลงกรณ ช่างเป็นสนามกอล์ฟที่สวยงดงาม เดินตีกอล์ฟไป ชมวิวไป สุขใจจริง

ที่นี่มีบ้านพักอยู่หลายหลัง ดูล้วนน่าอยู่ไปทุกหลัง สนใจรายละเอียด ดูได้ที่นี่แต่เราไม่ทราบมาก่อนว่าที่เขื่อนมีที่พักไว้บริการ แถมมีร้านอาหารด้วย เราแวะทานข้าวต้มกันที่นี่ กินไป ชมวิวไป นั่งดูสายหมอกบอกลาภูเขาไป  

 

แล้วเราก็บอกลาเขื่อนวชิราลงกรณ โดยไม่ลืมเก็บ (ภาพ) ดอกไม้มาเป็นที่ระลึก

 

กลับมาเก็บจักรยานที่โรงแรม แล้วเราสองคนก็กระโดดขึ้นรถสองแถวมุ่งหน้าไปยังบ้านอีต่อง โดยที่ไม่ได้สอบถามรายละเอียดให้แน่ชัด แล้วเราก็ได้เจอเรื่องระทึกใจให้เก็บมานั่งหัวเราะกันภายหลัง

บนสองแถวที่แน่นเอี๊ยด อัดเต็มไปด้วยสิ่งของและผู้คน ส่วนใหญ่จะไม่ใช่คนไทย แต่เป็นชาวบ้านอีต่องที่แท้จริง ส่วนนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ นะหรือ ก็ซิ่งรถยนต์ป้ายทะเบียน กทม ขึ้นเขากันอย่างน่าหวาดเสียวนะซิ

 

แต่ก็มีอีกหลายคนที่เลือกไปด้วยพาหนะรักษ์โลก อ้อยหวานขอยกนิ้วให้และชื่นชมด้วยใจจริง ที่จริงก็อยากปั่นจักรยานไปนะ แต่ระยะทางเกือบ 70 กิโลเมตร ที่ขึ้นเขาล้วนๆ บวกกับแข้งขาที่ปั่นจักรยานทางไกลมาเกือบสิบวัน มันร้องบอกเราว่า โน โน

 

เป็นเส้นทางคดเคี้ยวขึ้นเขา เขียวขจี และงดงาม เหมือนถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติ

 

คนขับรถแวะพักสูบบุหรี่ที่จุดชมวิว ก่อนลงจากรถเพื่อไปชมวิว ลุงคนขับรถเอ่ยถามอ้อยหวานว่ามีที่พักหรือยัง ‘อ๋อ ไม่มีหรอกลุง เราจะกลับไปนอนที่ทองผาภูมิ’ อ้อยหวานตอบ แล้วเราก็รู้ความจริงว่า ไม่มีรถกลับไปอีกแล้ว จนกว่าพรุ่งนี้เช้า อ้อยหวานร้อง อ้าว แล้วทำไมลุงไม่บอกก่อน แต่โดนตอกกลับมาในทันทีทันควันบุหรี่ของลุงว่า อ้าวแล้วทำไมไม่ถาม!! ถึงตอนนี้อ้อยหวานก็ไม่อยู่สุขเสียแล้ว แต่คนไปด้วยยังเดินถ่ายรูปอย่างใจเย็น บอกตามตรงว่าไม่ได้ชมวิวที่จุดชมวิวนี้เลย เพราะมัวแต่กังวลว่าจะติดอยู่บนเขา แต่ยังดีที่ได้ดูรูป ภาพภูเขาสูงชันสลับซับซ้อนสวยงามจริงจัง

 

บ้านอีต่อง

ชื่อหมู่บ้านอีต่อง มาจากคำว่า "หมู่บ้านณัตเอ็งต่อง"ซึ่ง "ณัต"แปลว่า เทพเจ้า หรือเทวดา "เอ็ง"แปลว่า บ้าน "ต่อง"แปลว่าภูเขา รวมกันแล้วจึงแปลได้ว่าเป็นหมู่บ้านที่อยู่บนเขาเทวดา ต่อมาได้เรียกเพี้ยนเสียงกลายเป็น "หมู่บ้านอีต่อง"มาจนถึงทุกวันนี้

บริเวณหมู่บ้านเล็กๆ นี้มีบ่อน้ำอยู่กลางหมู่บ้าน มีน้ำอุปโภคบริโภคจากแหล่งน้ำธรรมชาติ มีตลาดสด และโรงเรียน อย่างละแห่ง ไม่มีร้านสะดวกซื้อ หรือสถานบันเทิงใดๆ โรงหนังเก่าที่เคยมีได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นร้านขายของชำ ร้านค้า และร้านอาหารมีเพียงไม่กี่ร้าน เช่นร้านเจ๊ณี ครัวสุดแดน เป็นต้น บริเวณหมู่บ้านอีต่อง มีบริการที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว ทั้งเป็นแบบรีสอร์ท และโฮมสเตย์ นอกจากนี้ยังมีจุดกางเต็นท์ในบริเวณลาน ฮ. ในหมู่บ้านด้วย

อ่านรายละเอียดของบ้านอีต่องได้ที่ kanchanaburi.co

 

จะกลับทองผาภูมิกันอย่างไร? ค่อยคิดกันทีหลัง ตอนนี้ขอกินก่อน เดินผ่านร้านอาหารที่มีผู้คนมากมายนั่งล้อมวงจัดการกับของดีบนโต๊ะ ของดีที่น่ากินของบ้านอีต่องคือนี่เลย ใครจะคิดว่าบนภูเขาสูงเยี่ยงนี้จะมีปูให้กิน สอบถามแล้วรู้ว่ามาจะทะเลพม่า บ้านอีต่องอยู่ห่างจากทะเลอันดามันเพียง 60 กิโลเมตร ใกล้กว่าทองผาภูมิเสียอีก อย่ากระนั้นเลยมาถึงแล้วจะพลาดได้ไง แถมกระเพาะที่อิ่มหนำสำราญ จะส่งผลให้สมองแล่นคิดอะไรได้ดีขึ้น ทั้งหมดบนโต๊ะนี้ เนื้อไม่เหลือ เหลือแต่เปลือก

 

บ้านอีต่องก็มีหลักไมล์และตู้ไปรษณีย์เก๋ๆ เป็นของตัวเอง

 

อ้อยหวานและคู่ปั่นจะกลับไปทองผาภูมิได้อย่างไร โปรดติดตามในตอนต่อไป

 

โปรดติดตามปั่นเที่ยวไทยกับอ้อยหวานในตอนต่อไป

อ่านปั่นเที่ยวไทยตอนที่แล้วได้ที่นี่

รางวัลแด่คนช่างฝัน

ปั่นจักรยานทัวร์ริ่ง มันปิ้ง ปิ้ง จริงๆ นะ

หอมกลิ่นไอฝน ยลความงามสีเขียว ณ.เชิงเขานครศรีธรรมราช

ถามหาความทรงจำที่ราชบุรี

เยือนถิ่นตะนาวศรี ดินแดนแห่งขุนเขา ณ.สวนผึ้ง

เส้นทางในฝันแห่งตะนาวศรี

อดีต..กับ..ปัจจุบัน ที่กาญจนบุรี

ท่ามกลางหินผาในซอกหลืบของขุนเขาตะนาวศรี

 

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

ขอบคุณค่ะ

อ้อยหวาน

 

ต้องมนต์เสน่ห์ภูผา ณ.ทองผาภูมิ

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

It is not the mountain we conquer but ourselves.

มันไม่ใช่ภูเขาหรอกที่เราเอาชนะ... เราเอาชนะตัวเองต่างหาก

- เซอร์ เอ็ดมันด์คฮิลลารี (Sir Edmund Hillary) ผู้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก

ไม่ว่าจะเป็นการปีนเขา การเรียน การงาน หรือจะเป็นการมุ่งสู่ความใฝ่ฝันใดๆ มันอาจจะเป็นงานที่เหนื่อยยาก และกว่าจะได้มาเราต้องฟันฝ่า ขยันขันแข็ง มั่นซ้อม ฝึกตนให้เข้มแข็ง ต้องใช้ทั้งเวลา กำลังกาย และสุดท้ายคือ กำลังใจ

กำลังใจเป็นสิ่งที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง เพราะความท้าทายต่างๆ นั้น อาจจะทำให้เราเกิดความหวาดกลัว ขาดความเชื่อมั่น เกิดความขี้เกียจ ท้อถอย หรือคิดแต่ในเชิงลบ ก่อนที่เราจะสามารถรับมือกับความท้าทาย เราต้องเอาชนะขี้ต่างๆ ในตัวเราเสียก่อน ขี้ในที่นี้อ้อยหวานหมายถึง  ขี้เกียจ ขี้ขลาด ขี้แพ้ ขี้บ่น...เราต้องก้าวเท้าผ่านขี้ต่างๆ  ก่อนจะก้าวขึ้นสู่สังเวียน

ใช่เลย..เราต้องเอาชนะตัวเอง ก่อนที่จะเอาชนะความท้าทายอย่างอื่น

 

จากบล็อกที่แล้วหลังจากที่อ้อยหวานและคุณผู้ชายไปติดเกาะบนภูเขาที่บ้านอีต่อง ความที่ไม่ถามข้อมูลให้แน่ชัด เห็นรถสองแถวไปบ้านอีต่องก็กระโดดขึ้นรถเลย เพราะคิดว่าจะมีรถวิ่งไป-กลับทั้งวัน และหลังจากจัดการกับปูสองจานจนอิ่มท้อง เราก็เดินชมตลาดและรอบๆ บริเวณ บ้านอีต่องเป็นหมู่บ้านเล็กๆ เดินไม่นานก็ชมได้หมดจด เดินชมไป ก็เอ่ยปากขอติดรถนักท่องเที่ยวคนอื่นไป คำตอบที่ได้เหมือนกันหมดคือ ..ค้างบนเขาครับ เราจึงเดินคอตกออกมายืนโบกรถบนถนนสายเดียวของบ้านอีต่อง โบกกี่คันกี่คันก็คำตอบเดียวกัน ..ค้างบนเขาครับ จนคันสุดท้ายเป็นรถตำรวจ แม้นายตำรวจในรถจะให้ตอบเดียวกับคนอื่นๆ แต่..คุณตำรวจจอดรถแล้วบอกเราว่ามีอยู่ทางเดียวเท่านั้นคือ เหมารถสองแถวลงเขากลับไปทองผาภูมิ อีกทั้งยังไปตามหาคนขับรถสองแถวให้อีกด้วย ขอบคุณค่ะ

 

คุณผู้ชายกับรถสองแถวส่วนตัวในราคาสิบกว่าเท่าตัวของค่ารถขามา ระหว่างรอคนขับรถ อ้อยหวานเอ่ยปากขอโทษกับคุณเธอ ขอโทษในความสะเพร่าของตัวเอง ทำให้ต้องเสียเงินเพิ่ม คำตอบที่ได้รับจากปากของผู้ชายคนนี้ ก็เหมือนกับทุกครั้งคือ ‘ไม่เป็นไร สนุกดี ความไม่ราบเรียบ ติดขัด มันเป็นการผจญภัยอย่างหนึ่ง ที่มาเติมสีสันให้กับการเดินทาง มันทำให้เราจดจำรายละเอียดของวันเช่นนี้ได้นาน’ ใช่เลย มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ คิดถึงเหตุการณ์ที่บ้านอีต่องทีไร เราต้องมีฮากันทุกที ขอบคุณประสบการณ์ดีๆ ที่น่าจดจำ

 

ภาพระหว่างทางนั่งรถกลับทองผาภูมิ

 

ผู้คนส่วนใหญ่พักกันที่นี่ อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ

อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของแนวเทือกเขาทางภาค ตะวันตกส่วนที่ติดเขตแดนพม่า รวมทั้งเปิดให้ได้เข้าพัก เพื่อได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด เป็นการปลูกจิตสำนึกให้นักท่องเที่ยวรักและหวงแหนในความเป็นธรรมชาติ และช่วยกันรักษาให้ดำรงสืบไปถึงลูกหลาน

อ่านรายละเอียดของบ้านอีต่องได้ที่ kanchanaburi.coหรือที่นี่

ยังมีนักปั่นทยอยปั่นขึ้นเขามาเรื่อยๆ นับว่าเป็นสถานที่น่าปั่นจักรยานอีกแห่ง แต่ขอบอกว่าถ้าขาไม่แข็งจริงๆ ก็มีแต่เข็นกับเข็นลูกเดียว

 

แผนที่ที่คุณผู้ชายได้รับจากเว็ป Stravaเป็นเว็ปไซด์ที่ชื่นชอบของนักปั่น นักวิ่ง นักเดินเขา สมัครเป็นสมาชิกของเว็ปนี้ก็จะมีจีพีเอสติดตาม (GPS Tracker)และบันทึกไว้ให้เรารู้ว่าแต่ละวันเรา เดิน-ปั่น-วิ่ง บนเส้นทางไหน วันไหน ระยะเวลา และความสูงต่ำเท่าไร เป็นต้น แต่แผนที่ข้างบนเป็นเส้นทางที่เรานั่งอยู่บนรถสองแถวส่วนตัว จากบ้านอีต่องกลับไปทองผาภูมิ ซึ่งมีรายละเอียดดังนีั วันที่ 21 พฤศจิกายน 2015 เวลาบ่ายสาม ระยะทาง 66.6 กิโลเมตร ใช้เวลา 1.46 ชั่วโมง เป็นการจดบันทึกที่ละเอียดมาก

 

เส้นทางที่สวยงดงาม เราสองคนยังคุยกันว่า ถ้ามีโอกาสไปที่บ้านอีต่องอีกครั้ง เราจะขนจักรยานใส่รถสองแถวขึ้นไปนอนบนนั้นสักคืนหนึ่ง แล้วปั่นจักรยานไหลลงเขา

 

กลับถึงทองผาภูมิ เรามีเวลาเหลืออีกนิดหน่อย จึงตัดสินใจเดินไปชมวัดที่โดดเด่นเห็นแต่ไกลของทองผาภูมิ วัดท่าขนุน วัดเก่าแก่ของทองผาภูมิ

อ่านประวัติศาสตร์อย่างละเอียดของวัดได้ที่นี่ http://www.watthakhanun.com/background.html

 

จากตลาดทองผาภูมิ วัดท่าขนุนตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามแม่น้ำแควน้อย

เดินเลยตลาดมานิดนึงก็จะเห็นสะพานแขวนสำหรับเดินข้ามฝั่ง แถวนี้บรรยากาศดี มีวิวสวยๆ ให้ชม

 

บนสะพานแขวนวัดท่าขนุน

 

วิวแม่น้ำแควน้อยจากบนสะพานแขวน

 

โบสถ์ของวัดท่าขนุน ที่วัดนี้ยังเป็นสำนักปฏิบัติธรรมที่มีชื่อเสียงของกาญจนบุรี บรรยากาศรอบๆ วัดสงบ และร่มรื่นดีมาก อ้อยหวานคิดว่าเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่เหมาะกับการปฏิบัติธรรมจริง สนใจอ่านรายละเอียดที่เว็ปไซด์ของวัด

 

พระพุทธเจดีย์คีรี บนยอดเขาวัดท่าขนุน น่าเสียดายที่เราไม่มีเวลาเดินขึ้นเขาไปชม เพราะบนนั้นคงจะมีวิวภูผาสวยๆ ให้ชม

 

เช้าวันรุ่งขึ้นก่อนลาจากทองผาภูมิ เราตื่นเช้าออกไปเดินชมตลาดเช้าและบริเวณรอบๆ ตลาดเช้าของทองผาภูมิเป็นตลาดเล็กๆ แต่มีเสน่ห์

 

ดูดิ เป็นตลาดที่มีวิวสวยมาก

 

และฉาบไปด้วยรอยยิ้มสวยๆ เช่นกัน

 

บ้านสวยๆ ของทองผาภูมิ

 


เดินผ่านงานแต่งงานที่จัดขึ้นแต่เช้า อ้อยหวานขออนุญาติถ่ายรูปเจ้าบ่าวเจ้าสาว ซึ่งทั้งสองก็ตั้งท่าให้ถ่ายเป็นอย่างดี ขอบคุณมากค่ะ

 

เราลาทองผาภูมิกันด้วยภาพนี้ ดอกไม้ของวัดท่าขนุน

ปล. อ้อยหวานยังเขียนบล็อกปั่นเที่ยวไทยยังไม่จบเลย ชีพจรลงเท้าอีกแล้ว คราวนี้ไปเที่ยวเมืองจีนค่ะ กว่าจะกลับก็หลายเพลาอยู่ แล้วกลับมาเล่าให้ฟังนะค่ะ บล็อกของอ้อยหวานต้องเปลี่ยนชื่อไหมเนี๋ย เป็นบล็อก ธทจ ..เธอเที่ยวจัง!!

โปรดติดตามปั่นเที่ยวไทยกับอ้อยหวานในตอนต่อไป

อ่านปั่นเที่ยวไทยตอนที่แล้วได้ที่นี่

รางวัลแด่คนช่างฝัน

ปั่นจักรยานทัวร์ริ่ง มันปิ้ง ปิ้ง จริงๆ นะ

หอมกลิ่นไอฝน ยลความงามสีเขียว ณ.เชิงเขานครศรีธรรมราช

ถามหาความทรงจำที่ราชบุรี

เยือนถิ่นตะนาวศรี ดินแดนแห่งขุนเขา ณ.สวนผึ้ง

เส้นทางในฝันแห่งตะนาวศรี

อดีต..กับ..ปัจจุบัน ที่กาญจนบุรี

ท่ามกลางหินผาในซอกหลืบของขุนเขาตะนาวศรี

คืบก็ภูเขา ศอกก็ภูเขา ณ.ทองผาภูมิ

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

ขอบคุณค่ะ

อ้อยหวาน


ข้ามกำแพงเหล็ก เปิดประตูไม้ไผ่ แหวกม่านผ้าไหม ไปแอบดูจีน

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

กลับมาอีกครั้ง มาชวนเพื่อนๆ ไปเที่ยว (อีกแล้ว!!) อ้อยหวานยังเขียนบล็อกปั่นจักรยานเที่ยวไทยยังไม่ถึงครึ่งทาง ชีพจรก็ลงเท้าอีกครั้ง คราวนี้ไปเที่ยวเมืองจีนค่ะ ไปกันเป็นกองทัพ พ่อแม่ พี่น้อง ป้าน้า อาหลาน จูงมือกันไปเที่ยว เราไปเที่ยวกันอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อน เป็นโปรแกรมตามใจพ่อเอาใจแม่ ไปดูไปเที่ยวได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น ไม่มีการวิ่งควบไปดูเสียทุกรายการ รถตู้คันเล็กขับเคลื่อนไปตามใจเรา อยากจอดที่ไหนก็จอด ใส่โปรแกรมไว้สามแห่งคือ เมืองแต้จิ๋วหรือเฉาโจว (Chaozhou) เมืองซัวเถา (Shantou) และเมืองเซี่ยเมิน (Xiamen) และนอกจากจะข้ามกำแพงเหล็ก เปิดประตูไม้ไผ่ แหวกม่านผ้าไหม แล้วอ้อยหวานยังได้ไปมุดมุ้งแอบดูจีนอีกด้วย ซึ่งจะเล่าให้ฟังในตอนต่อไป

 

ทริปนี้ของเราเริ่มต้นที่เมืองแต้จิ๋วหรือเฉาโจว (Chaozhou) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในส่วนตะวันออกสุดของมณฑลกวางตุ้ง และตั้งอยู่ทางทิศเหนือของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำหาน (韩江) และเป็นเมืองพี่สาวน้องสาว (Sister cities) ของกรุงเทพ

ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย

 

สภาพเมืองแต้จิ๋วหรือเฉาโจวในตอนเช้า

 

ออกจากที่พักไปไม่ไกล เราก็มาถึงกำแพงเมืองและประตูเมืองแต้จิ๋วโบราณ ประตูนี้เป็นประตูรอง คนขับรถจอดรถให้เราลงที่นี้แล้วชี้ทางให้เราเดินไปที่ประตูหลักซึ่งอยู่ไม่ไกล

 

ประตูเมืองหลักสร้างได้ยิ่งใหญ่แนวจีนแท้ ทาสีแดงสวย

 

มองผ่านประตู

 

และแน่นอนแหล่งท่องเที่ยวก็มาคู่กับแหล่งเสียสตางค์ ผ่านประตูเมืองเข้าไปก็มีด่านรูดเงินทันที เป็นด่านที่มาในรูปของร้านค้าต่างๆ ยืนเรียงรายอยู่เต็มสองข้างถนน ถนนคนเดินที่ได้รับการเสริมสวยใหม่ ดูต่างจากบริเวณอื่นของเมือง

 

มีประตูหินอย่างนี้อยู่หลายประตู

 

แต่ละร้านก็มีข้าวของล่อตา ล่อใจ และล่อสตางค์ออกจากกระเป๋านักท่องเที่ยว พิมพ์ขนมไม้ของแต้จิ๋ว เป็นพิมพ์ทำมือแกะสลักอย่างสวยงามสำหรับทำขนมของจีนหลากหลายชนิดเช่น ขนมกุ๊ยช่ายสีชมพูหรือขนมอั่งท้อก้วย ขนมโก๋ ขนมไหว้พระจันทร์

 

เจ้าลูกที่เห็นนี้อ้อยหวานเพิ่งรู้จักว่ามันคืออะไรจากน้องที่เคยไปเรียนหนังสือที่เมืองจีน ตอนนั้นถ้ารู้จักก็คงจะซื้อมาลองทาน ชาส้มโอเป็นการนำเอาส้มโอมาแกะเนื้อออก ตากแห้ง แล้วใส่ใบชาลงไปแทนเนื้อส้มโอ เย็บให้เป็นลูกสวย จากนั้นก็ตากให้แห้งสนิท ก็จะได้ชาส้มโอชาชนิดพิเศษที่แตกต่าง

 

ดูกันชัดๆ ชาส้มโอ ดูเหมือนกับฟักทองที่เย็บด้วยหนัง

 

น้ำเต้าตากแห้งทาสีสวยๆ

 

ร้านนี้มีแต่น้ำเต้ารูปร่างแปลกๆ ราคาก็ไม่เบาเลย

 

ขนมแบบต่างๆ

 

กาน้ำชารูปร่างแปลกตา

 

อาซิ้มคนนี้ขายมะเฟืองลูกใหญ่อยู่ข้างๆ ประตูเมือง เป็นมะเฟืองของที่นี่ มีขายอยู่ทั่วไป บางครั้งจะเป็นมะเฟืองดองซึ่งเขาจะดองกันทั้งลูกเลย อ้อยหวานไม่ได้ชิมดูเพราะเป็นคนที่ไม่ชอบทานมะเฟือง

 

ตรงกันข้ามกับประตูเมืองคือสะพานโบราณที่มีชื่อเสียงของเมืองแต้จิ๋ว

สะพานเซียงจื่อ (Siangze)หรือสะพานกว๋องจี่ (Guangz) เป็นหนึ่งในสี่สะพานโบราณที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศจีน เป็นสะพานที่ข้ามแม่น้ำหาน เริ่มสร้างในสมัยราชวงศ์ซ้ง ตรงกับปี ค.ศ. 1170 โดยใช้เวลาสร้างยาวนานถึง 57 ปี มีความยาว 515 เมตร มีศาลาหรือพาวิลเลียนทั้งหมด 24 ศาลา กับเรืออีก 18 ลำ

 

สะพานนี้นับว่าเป็นสะพานที่เปิด-ปิดได้แห่งแรกของโลก ซึ่งเรือ 18 ลำนี้เองที่ทำหน้าที่เปิด-ปิดสะพานให้เรือลำอื่นๆ แล่นผ่าน

 

นักท่องเที่ยวเต็มสะพาน ก็แน่ละเพราะช่วงนี้เป็นช่วงวันหยุดตรุษจีน เขาฉลองกันสิบห้าวันสิบห้าคืนกันเลยทีเดียว

จากเมืองแต้จิ๋วเรามุ่งหน้าไปยังเมืองเซี่ยเมิน (Xiamen) ซึ่งอยู่ติดชายแดนเมืองแต้จิ๋ว ในมณฑลฝูเจี้ยน (หรือมณฑลฮกเกี้ยน)

 

โปรดติดตามอ้อยหวานไปแอบดูเมืองจีนในตอนต่อไป

 

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

 

ขอบคุณค่ะ

 

อ้อยหวาน

ข้ามกำแพงเหล็ก เปิดประตูไม้ไผ่ แหวกม่านผ้าไหม ไปแอบดูจีน 2

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

จากเมืองแต้จิ๋วกองทัพน้อยๆ ของเราก็มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปยังที่หมายต่อไปคือ เมืองเซี่ยเมิน (Xiamen) ซึ่งอยู่ในมณฑลฝูเจี้ยน (Fujian) หรือมณฑลฮกเกี้ยน กว่าจะถึงเซี่ยเมินรถตู้คันน้อยของเรา ได้พาเราขึ้นเขา ลงเขา เข้าอุโมงค์ยาวบ้างสั้นบ้างที่จีนเจาะภูเขาให้ทางหลวงทะลุผ่าน และบ่อยครั้งที่ทางหลวงเกือบจะเป็นทางลอยฟ้า คือเป็นทางยกระดับที่ตรงแน่ว ไม่มีการคดโค้ง ขึ้นลงเนินให้เสียเวลา นี่เป็นการย่นระยะทางและระยะเวลา แต่ก็มีข้อเสียเช่นกันคือทำให้พลาดชมวิวภูเขาสวยๆ ของฝูเจี้ยน ที่มีคำกล่าวไว้ว่า  มณฑลฝูเจี้ยนมีพี้นที่แปดในสิบเป็นภูเขา หนึ่งส่วนคือน้ำ และอีกหนึ่งส่วนเป็นพื้นที่เกษตรกรรม (Eight parts mountain, one part water, and one part farmland)

 

เมืองเซี่ยเมิน (Xiamen) จัดว่าเป็นเมืองสีเขียวที่งดงามเมืองหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับสองของมณฑลฝูเจี้ยน มีประชากรหนาแน่น แต่ถนนหนทางสะอาด และมีต้นไม้เขียวขจีหนาแน่นเช่นกัน เซี่ยเมินมีพื้นที่เป็นเกาะไม่ราบเรียบ ต้องขึ้นลงเนินตลอด

 

ถนนหนทางใจกลางเมืองในตอนเช้าตรู่ สะอาดสะอ้านดีจริงๆ

 

ด้วยฝีมือของคนๆ นี้ และผู้ร่วมงานอีกหลายคน พออ้อยหวานขอถ่ายรูป เธอก็เต๊ะท่าให้ถ่ายอย่างภูมิใจ ดูไม้กวาดทำมือของเธอสิ เป็นกิ่งไม้สดซึ่งตัดมามัดเป็นกำ ไม่เห็นกับตาก็จะไม่เชื่อเลยว่าไม้กวาดทำมือเช่นนี้แหละ ที่ทำให้ถนนหนทางของเมืองใหญ่อย่างเซี่ยเมินสะอาดสะอ้าน

 

รถขยะก็โดนใจคนรักจักรยานอย่างอ้อยหวานจริงๆ

 

มาเซี่ยเมินก็ต้องมาวัดหนานผู่โถว (Nanputuo) วัดพุทธนิกายมหายานที่เก่าแก่อายุนับพันปี แต่คนเยอะมากๆ กลุ่มของอ้อยหวานมีทั้งเด็กและคนแก่สู้กับกองทัพคนจีนไม่ไหว จะแยกกลุ่มก็กลัวจะหากันไม่เจอ เพราะไม่สามารถติดต่อกันได้ ก็เลยต้องเกาะกลุ่มกันไปดูเท่าที่ดูกันได้

 

ภายในลานวัดคนยิ่งแน่นกันไปใหญ่

 

แอบเอากล้องผ่านรั้วกั้นเข้าไปถ่ายพระพุทธรูป ญี่ปุ่นกับจีนนี่เหมือนกันเลยคือหวงพระพุทธรูป เก็บไว้ในอาคารมีรั้วกั้นมิดชิด แล้วให้ผู้คนกราบไหว้กันนอกอาคาร

 

เช้าของอีกวันเรามีวางแผนจะออกไปชมบ้านดินแห่งฝูเจี้ยน (Fujian Tulou) แต่พ่อไม่ค่อยสบาย ก็เลยเปลี่ยนแผนพากันไปเดินเล่นชิวๆ ในสวนดีกว่า เซี่ยเมินเป็นเมืองที่ได้รับรางวัลในระดับชาติ ได้แก่ "เมืองดีเด่นด้านการรักษาสภาพแวดล้อม"และ "เมืองแห่งสวนสาธารณะ"

สวนที่คนขับรถพาเราไปเป็นสวนที่ให้อารมณ์คล้ายๆ กับสวนลุมพินีวันของกรุงเทพ

 

เดินเล่นกินลมชมวิวตึกระฟ้าของเซี่ยเมิน

 

ดอกพลัมในสวน

 

ที่นี้ก็มาถึง ถนนคนเดิน จงซานลู่ (Zhongshan) ซึ่งเป็นถนนคนเดินที่น่าเดินมาก แม้ว่าจะมีผู้คนมากมาย แต่ถนนก็ค่อนข้างกว้างมีร้านค้าร้านอาหารมากมายสำหรับนักช็อปนักชิม

 

ถนนสายนี้ขนาบข้างด้วยอาคารเก่าๆ ที่สร้างขึ้นในปี 1925 บวกกับแสงไฟกลางคืน ดูสวยจริงๆ

 

ลั้นล้ากันกลางถนนเลย เจ้าตัวเล็กสุดในกลุ่มเวลาถ่ายรูปชอบยกมือยกไม้บังหน้าคนอื่น ย่านั่งรถเข็นก็เลยโดนหลานบังเสียมิดชิด

 

มีซอยเล็กซอยน้อยมากมาย ซอยนี้หนักในเรื่องชา และของกิน

 

ใบชาหลากหลายชนิด มณฑลฝูเจี้ยนจัดได้ว่าเป็นแหล่งปลูกและผลิตใบชาที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของจีน เป็นต้นกำเนิดของชาที่มีชื่อเสียงหลายชนิดเช่น ชาอู่หลง

 

แผงขายอาหารทะเลก็มีอยู่มากมาย เพราะเมืองเซี่ยเมินอยู่ติดทะเล

 

น่ากินไปหมดทุกอย่าง

 

เป็นถนนคนเดินที่น่าเดินมาก ร้านค้าต่างๆ ก็ดูน่าสนใจ

 

ปิดท้ายด้วยฝาครอบท่อระบายน้ำสีสดใสของถนนคนเดิน จงซานลู่ (Zhongshan)

โปรดติดตามอ้อยหวานไปแอบดูเมืองจีนในตอนต่อไป

 

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

 

ขอบคุณค่ะ

 

อ้อยหวาน

 

ข้ามกำแพงเหล็ก เปิดประตูไม้ไผ่ แหวกม่านผ้าไหม ไปแอบดูจีน 3

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

ชื่อบล็อก “ข้ามกำแพงเหล็ก เปิดประตูไม้ไผ่ แหวกม่านผ้าไหม” มีที่มาจากความรู้สึกของอ้อยหวานต่อประเทศจีน ที่เดี๋ยวอ่อน เดี๋ยวแข็ง เดี๋ยวยาก เดี๋ยวง่าย ประเทศจีนเปิดประเทศให้ผู้คนเข้าไปชมมาหลายปีแล้ว แต่กรรมวิธีการขอวีซ่ายังค่อนข้างยุ่งยาก สำหรับอ้อยหวานได้ขอวีซ่าที่เมืองออตตาวา แคนนาดา โดยใช้พาสปอร์ตแคนนาดา เพราะเคยชินกับอภิสิทธ์ของพาสปอร์ตแคนนาดา ที่ไม่ต้องขอวีซ่าในการเข้าประเทศหลายประเทศในยุโรบ ญี่ปุ่น รวมถึงสหรัฐอเมริกา ทำให้รู้สึกว่าการขอวีช่าจีนนี้ยุ่งยากมาก ต้องมีตั๋วเครื่องบินและจองโรงแรมไว้เรียบร้อย ก่อนที่จะไปยื่นขอวีซ่า ถ้าไม่ได้วีช่าก็คงต้องเสียค่าตั๋วเครื่องบินฟรี ในช่วงนั้นเกือบถอดใจไม่ไปไปหลายครั้ง แต่พอไปรับพาสปอร์ต ปรากฏว่าคุณจีนให้วีซ่าอ้อยหวานถึงห้าปี เข้าออกกี่ครั้งก็ได้ไม่จำกัด อะไรจะขนาดนั้น!

แต่พอไปเยียบแผ่นดินจีน เธอกับริดรอนสิทธิและเสรีภาพในการใช้อินเตอร์เน็ต จีน block เว็ปไชด์มากมายหลายเว็ป รวมไปถึงเว็ปของกูเกิลทั้งหมดและเฟรสบุค เว็ปบ้านสวนพอเพียงเปิดชมได้ แต่ล็อกอินไม่ได้ ส่วน Line ใช้ได้บ้าง ใช้ไม่ได้บ้าง ที่เมืองจีนไม่มี Line แต่คนจีนเขาใช้  We chat กัน

เห็นไหม เข้ากับชื่อบล็อกไหมละ “ข้ามกำแพงเหล็ก เปิดประตูไม้ไผ่ แหวกม่านผ้าไหม”

 

หลังจากส่งพรรคพวกส่วนใหญ่กลับเมืองไทยแล้ว ที่เหลือก็ย้ายตัวเองไปใช้ชีวิต กินนอนในหมู่บ้านนอกเมืองซัวเถาหรือซานโถว (Shantou) หมู่บ้านที่เป็นบ้านเกิดของพ่อ เป็นเวลาตั้งสิบกว่าวัน ได้พบกับประสบการณ์ที่หาที่ไหนไม่ได้ เอามาทำหนังสิบม้วนก็ไม่จบ

 

หมู่บ้านบ้านเกิดของพ่อ เป็นหมู่บ้านแบบเก่า หมู่บ้านแบบนี้มีให้เห็นตลอดระหว่างที่นั่งรถออกจากเมืองซัวเถาหรือซานโถว แค่นั่งรถผ่านยังต้องร้องโอ้...อยู่ในใจ มาใช้ชีวิตสิบกว่าวัน ก็ยังต้องร้อง..โอ้ ในใจ อยู่หลายรอบ

 

สำหรับพ่อนั้น อ้อยหวานรู้ดีว่าพ่อรู้สึกอย่างไรกับการกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดครั้งนี้ หลังจากที่ไม่ได้กลับไปหลายปี การออกไปเดินเล่นรอบๆ หมู่บ้านกับพ่อและน้อง เหมือนกับการได้เดินย้อนเข้าไปในอดีต ..อดีตของพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ก็คืออดีตของตัวเรา

 

บ้านหลังนี้แหละคือบ้านเก่าของพ่อ

 

บ้านเก่าของพ่อปิดร้างไม่มีคนอยู่ทั้งปี แต่ปีละครั้งที่ญาติคนจีนกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด ก็จะเปิดบ้านทำความสะอาดครั้งหนึ่ง บ้านแบบนี้มีช่องรับลมรับแดดอยู่ตรงกลางบ้าน หลังหนึ่งจะอยู่กันทั้งครอบครัวใหญ่ๆ ลานตรงกลางบ้านก็เป็นครัว ที่ซักผ้าตากผ้า ที่วิ่งเล่นของเด็กๆ เป็นลานอเนกประสงค์จริงๆ สองด้านหัวท้ายของลานจะเป็นห้องรับแขก และห้องกินข้าว ที่จริงส่วนนี้จะมีประตูไม้ฉลุบานใหญ่ด้านละสี่บาน เปิดออกไปยังลานอเนกประสงค์ แต่ญาติถอดเก็บไปไว้ในห้อง แล้วเอาผ้าใบสีเหลืองมาใช้ขึงปิดแทน

ขนาบด้านข้างทั้งสองข้างจะเป็นห้องนอน บ้านหลังนี้มีหกห้องนอน แต่หลายปีมาแล้วพ่อให้เขาทำห้องน้ำใหม่ในบ้าน ก็เลยเหลือห้าห้องนอน

 

ผนังตกแต่งสวยงาม

 

ประตูห้องนอนจะเป็นสองชั้น ประตูฉลุลายสวยงามอยู่ด้านนอก ด้านในจะเป็นประตูทึบธรรมดา

 

นอกจากจะ..ข้ามกำแพงเหล็ก เปิดประตูไม้ไผ่ แหวกม่านผ้าไหม..แล้ว อ้อยหวานยังได้ไปมุดมุ้งแอบดูจีนอีกด้วย ได้นอนบนเตียงโบราณที่ญาติขนมาจัดไว้ให้ มีมุ้งครอบแบบเก่าที่ต้องมุดเข้าออกวันละหลายรอบ พอเห็นเตียงแว็ปแรก ก็มีคำถามผุดขึ้นมีในใจอ้อยหวานทันที ‘เจ้าของเก่าเขาจะหวงไม่เนี๋ย! ‘ ก่อนนอนคืนแรกน้องสาวเอ่ยถามว่านอนได้ไหม อ้อยหวานรีบตอบไปทันทีทันใดว่า ‘นอนได้จ้า ถ้าเปิดไฟนอน’ สิบเอ็ดคืนที่หมู่บ้าน เราเปิดไฟสว่างจ้านอนกันทุกคืน และนอนหลับสบายกันทุกคืน

 

การไปเมืองจีนครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่อ้อยหวานได้พบกับญาติโกโหติกามากมายที่อยู่ในแผ่นดินจีน วันต่อๆ มาก็ได้พบกับญาติอีกโขยงใหญ่ที่ทยอยกันมาพบกับพ่อเรื่อยๆ มีบางคนมาแนะนำตัว สืบสาวไล่เรียงได้ความว่า พ่อของพ่อของพ่อของพ่อของเราเป็นพี่น้องกัน หลายรุ่นเลยนะเนี๋ย

 

ตลาดในหมู่บ้าน เสียดายที่ไม่สามารถส่งเสียงทางภาพนี้ได้ เพราะเสียงดังสุดๆ คนจีนชอบบีบแตรรถมากๆ บางคนจะบีบไปตลอดทางไม่ปล่อยเลย

 

บรรยากาศในหมู่บ้าน มีจักรยานให้เห็นไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะใช้มอเตอร์ไซด์กัน ยี่สิบกว่าปีก่อนอ้อยหวานกะคุณผู้ชายเคยมาแบกเป้เที่ยวในจีน ในตอนนั้นยานพาหนะที่ใช้กันส่วนใหญ่ 90% เป็นจักรยาน แต่เดี๋ยวนี้คนใช้จักรยานถึงหนึ่ง % หรือเปล่าก็ไม่รู้

 

วันหนึ่งญาติขอยืมจักรยานมาให้สองคัน อ้อยหวานกับน้องสาวเลยได้ออกไปปั่นซอกแซกชมหมู่บ้าน บ้านแต่ละหลังดูทรุดโทรมมาก ส่วนใหญ่ดูเหมือนไม่มีคนอยู่อาศัย เพราะย้ายไปอยู่บนตึกหรือในเมืองกันหมด

 

ดูหลังนี้สิ ใช้เป็นฉากสร้างหนังได้เลย

 

อีกมุมหนึ่งของหมู่บ้าน อากาศตอนนี้ค่อนข้างเย็น พืชผักคงชอบกัน ดูเขียวสดจริงๆ

 

ซอกเล็กซอยน้อย

 

อันนี้ไม่ใช่ขายหวยนะ แต่เป็นโฆษณาอะไรสักอย่าง ใครอ่านออก ช่วยบอกที

 

ทุกเช้าอ้อยหวานจะปั่นจักรยานออกไปคนเดียว ไปทางด้านหลังของหมู่บ้าน ผ่านสวนผัก บางช่วงจะเป็นสวนสตอร์เบอรี่ และนาข้าวที่ยังว่างอยู่เพราะช่วงนี้ยังอยู่ในช่วงฤดูหนาว มุ่งหน้าสู่ภูเขาที่เห็นอยู่ด้านหลัง แล้วได้ไปเจอะเจออะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง

 

ทั้งเข็นทั้งปั่นขึ้นเขา อ้อยหวานขึ้นมาบนนี้ทุกเช้า อากาศจะดีกว่าในหมู่บ้าน แถมเงียบสงบ ไม่มีเสียงแตรรถ

 

ข้างบนจะมีวัดพุทธ

 

ซึ่งมีพระพุทธรูปที่สวยงามมาก

 

และมีเขื่อน ที่อ้อยหวานหาทางขึ้นไปบนเขื่อนอยู่หลายวัน ปั่นขึ้นเขา ลงเขา เข้าซอกโน้น ออกซอกนี้ วนเวียนหาทางขึ้นเขื่อน จนคุณผู้ชายหวั่นว่าจะถูกจับเข้าคุกข้อหาเป็นสายลับ! จนวันสุดท้ายไปถามลุงคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าเขื่อน ถามภาษาใบ้โดยชี้ที่จักรยานแล้วชี้ไปที่เขื่อน ได้คำตอบมาว่า เม่ยโหย่ แปลว่า ขึ้นไม่ได้! ที่นี้ก็จบข่าวเลย

มันเป็นการผจญภัยเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้เด็กแก่คนนี้เพลิดเพลินตลอดเวลาสิบกว่าวัน

 

โปรดติดตามอ้อยหวานเล่าเรื่องการฉลองตรุษจีนสิบห้าวันสิบห้าคืน ในตอนต่อไป

อ่านแอบดูจีนตอนที่แล้วได้ที่นี่

ตอน 1

ตอน 2

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

 

ขอบคุณค่ะ

 

อ้อยหวาน

 

ข้ามกำแพงเหล็ก เปิดประตูไม้ไผ่ แหวกม่านผ้าไหม ไปแอบดูจีน 4

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

การที่ได้ไปใช้ชีวิต กินนอนในหมู่บ้านนอกเมืองซัวเถาหรือซานโถว (Shantou) หมู่บ้านที่เป็นบ้านเกิดของพ่อ เป็นเวลาตั้งสิบกว่าวัน อ้อยหวานได้ประสบการณ์ที่มีค่าอย่างที่ไปท่องเที่ยวที่อื่นให้ไม่ได้ ได้สัมผัสกับประวัติศาสตร์ เรื่องราวของบรรพบุรุษ วัฒนธรรม ประเพณี อาหาร การกินอยู่ แม้จะพูดภาษาจีนไม่ได้ แต่ก็มีน้องคอยแปลให้ฟังอยู่ตลอด สิบกว่าวันที่เดินเที่ยวชมหมู่บ้านกับพ่อและน้อง และที่ได้เอาจักรยานออกไปซอกแซกผจญภัยอย่างไม่กลัวหลงทาง อ้อยหวานได้สัมผัสเรื่องราวมากมาย เป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่าใหญ่หลวง ได้รับรู้อีกเสี้ยวหนึ่งที่เป็นตัวตนของตัวเอง เพราะ ..อดีตของพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ก็คืออดีตของตัวเรา

 

และช่วงเวลาที่ไปที่นั่นก็เป็นช่วงเวลาที่ไม่ธรรมดาเสียด้วยสิ ก่อนไปอ้อยหวานยังแครงใจว่าทำไมพ่อเลือกไปตอนตรุษจีน คนต้องเยอะมากๆ เพราะเห็นข่าวความโกลาหลวุ่นวายของสถานีรถไฟหรือรถเมล์ในช่วงตรุษจีนอยู่ทุกปี ตามธรรมเนียมจีนที่ยึดถือกันเหนียวแน่น มาแต่ครั้งกระโน้น (ซึ่งอาจจะนานกว่าหลายร้อยๆ ปี) ก็คือ การกลับบ้านเกิดในช่วงขึ้นปีใหม่ (ตรุษจีน) นอกจากเป็นการรวมญาติแล้ว กิจกรรมที่สำคัญคือการไหว้เจ้าไหว้เทวดาและไหว้บรรพบุรุษ ในความคิดของคนจีนนั้นพิธีไหว้เจ้าและไหว้บรรพบุรุษนั้นสำคัญมากๆ เขาถือว่าทำดีหรือไม่ดีจะส่งผลนั้นๆ ให้แก่ลูกหลานเหลนในอนาคตเลยทีเดียว

 

และการฉลองตรุษจีนแท้ๆ นี้ ก็ไม่ธรรมดาเสียด้วย ต่างจากเมืองไทยที่มีเพียงสามวันคือ วันจ่าย วันไหว้ และวันเที่ยว ของเมืองจีนของแท้และดั้งเดิม เขาฉลองกันสิบห้าวันสิบห้าคืน

 

อ้อยหวานขอเล่าเรื่องการไหว้บรรพบุรุษก่อนเลย เพราะบรรพบุรุษจึงทำให้อ้อยหวานได้ไปที่หมู่บ้านนี้ วันที่มีการไหว้บรรพบุรุษกัน อ้อยหวานไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ เพราะในวันนั้นเกิดอาการแพ้ควันธูปขึ้นอย่างแรง แสบตาและคอมากมาย แต่จำคำถามที่ถามน้องได้ว่า  อ้าวไหว้กำแพงเปล่าๆ กันหรือ ไม่มีการติดรูปเลย แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าปรกติบ้านนี้ไม่มีคนอยู่

รูปข้างบนอ้อยหวานขอยืมจากน้องสาวมา เป็นรูปบรรพบุรุษที่ติดอยู่บนผนังบ้านของญาติที่ย้ายไปอยู่บนตึกไม่ไกลกัน  เขาติดแยกเป็นฝั่งชาย-หญิง คู่ตรงกลางคือปู่กับย่าของพ่อ ถัดมาคือพ่อกับแม่ของพ่อ (ปู่และย่าของอ้อยหวาน) ส่วนริมสุดทั้งสองข้างคือพ่อกับแม่ของเจ้าของบ้าน ซึ่งเป็นน้องชายของปู่ของอ้อยหวาน (อาของพ่อ) ยังก่อน..อย่าเพิ่งงง!

เพราะเรื่องที่จะเล่าต่อนั้นยิ่งน่าสนใจ เอาไปทำหนังชีวิตเรื่องยาวได้เลย

คนคู่ตรงกลางในรูป ปู่กับย่าของพ่อนั้นได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่เมืองไทยนานแล้ว ผู้ชายอีกสองคนที่อยู่ด้านข้างคือลูกชายทั้งสองคนที่เกิดที่เมืองไทย และถูกส่งไปเรียนหนังสือที่เมืองจีนเมื่อตอนรุ่นหนุ่ม ทั้งสองหนุ่มตกหลุมรักและได้ร่วมหอลงโรงกับสาวจีน พ่อของอ้อยหวานเกิดที่เมืองจีน แล้ววันหนึ่งปู่ของอ้อยหวาน (พ่อของพ่อ) ตัดสินใจย้ายครอบครัวกลับมาเมืองไทย โดยทิ้งพ่อ (ของอ้อยหวาน) ไว้กับน้องชายให้เรียนหนังสือที่เมืองจีน พ่อย้ายมาอยู่เมืองไทยเมื่อตอนรุ่นหนุ่ม ส่วนอาของพ่อที่เกิดเมืองไทยนั้นไม่ได้กลับไปเมืองไทยอีกเลย เวลาที่ญาติเมืองจีนไหว้บรรพบุรุษก็ต้องนึกหรือส่งใจเอา เพราะสุสานของปู่และย่าของพวกเขาอยู่ที่เมืองไทย

อ้อยหวานมานั่งคิดเล่นสนุกๆ เอาเองว่า ลูกๆ ของปู่ทุกคนแต่ยกเว้นพ่อ ต่างคิดว่าตัวเองเป็นคนไทย ลูกๆ ของพ่อทุกคนก็ยืดอกบอกได้ว่าตัวเองเป็นคนไทยเหมือนกัน แต่ลูกๆ ของน้องชายปู่กลับเป็นคนจีน ทั้งที่พ่อของพวกเขาเกิดเมืองไทย และอ้อยหวานก็คิดเอาเองว่าน่าจะเป็นคนไทยเช่นกัน

ถ้าวันหนึ่งเหลนๆ ของอ้อยหวานมานั่งคิดเรื่องบรรพบุรุษ ก็คงจะมึนกว่านี้หลายเท่า เพราะบรรพบุรุษฝ่ายคุณผู้ชายที่บ้าน สืบสาวไปไกลถึงประเทศไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นเกาะอยู่ทางเหนือของประเทศอังกฤษ และคิดว่าเรื่องราวบรรพบุรุษของเพื่อนๆ ก็คงสนุกสนานตื่นเต้น และมึนไม่แพ้กัน

 

ทีนี้ก็มาถึงเรื่องฉลองตรุษจีนกันสักที

ตรุษจีนเป็นวันหยุดตามประเพณีของจีนที่สำคัญที่สุด ในประเทศจีน ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า "เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ"เพราะฤดูใบไม้ผลิตามปฏิทินจีนเริ่มต้นด้วยวันลีชุน ซึ่งเป็นวันแรกในทางสุริยคติของปีปฏิทินจีน วันดังกล่าวยังเป็นวันสิ้นสุดฤดูหนาว ซึ่งคล้ายกันกับงานเทศกาลของตะวันตก เทศกาลนี้เริ่มต้นในวันที่ 1 เดือน 1  ในปฏิทินจีนโบราณและสิ้นสุดลงในวันที่ 15 ด้วยเทศกาลโคมไฟ

คืนก่อนตรุษจีนเป็นวันซึ่งครอบครัวจีนมารวมญาติเพื่อรับประทานอาหารเย็นเป็นประจำทุกปี ซึ่งเรียกว่า ฉูซี่ หรือ "การผลัดเปลี่ยนยามค่ำคืน"เนื่องจากปฏิทินจีนเป็นแบบสุริยจันทรคติ ตรุษจีนจึงมักเรียกว่า "วันขึ้นปีใหม่จันทรคติ"

ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย

 

ในหมู่บ้านก็จะมีการตั้งโต๊ะไหว้เจ้าหรือไหว้เทวดากันกระจัดกระจายอยู่หลายแห่ง แต่ละบ้านต้องขนโต๊ะของตัวเองมา และส่วนใหญ่จะเป็นสีแดง เพราะสีแดงเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีและความสุข

 

ของไหว้เจ้าที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ เจดีย์น้ำตาล เจดีย์หมายถึง ความเจริญก้าวหน้า ความรุ่งเรือง และประสบความสำเร็จ

 

วางขายอยู่ในตลาด มีสองสามขนาดให้เลือก

 

เขาไหว้เจ้ากันหลายวันเชียวละ อย่างวันนี้อ้อยหวานปั่นจักรยานไปทางด้านหลังของหมู่บ้าน เพื่อมุ่งตรงไปยังภูเขา ก็ไปเจอกับการไหว้เจ้าของกลุ่มนี้ วันนี้ของไหว้เจ้าที่แตกต่างไปคือ ใช้ของสดไหว้

 

สดจริงๆ มาทั้งตัวเลย

 

พิธีแห่เจ้า เขาแห่กันอย่างนี้ทั้งวันเลย รูปนี้ค่อนข้างมัว เพราะอ้อยหวานกำลังตั้งท่าหลบประทัด เพราะพอขบวนแห่เจ้ามาถึง แต่ละบ้านก็จะจุดประทัดกันอย่างเมามัน

 

ทั้งเสียงทั้งควัน ดูอย่างกับเกิดสงครามกลางเมือง พอจุดประทัดเสร็จคุณระเบิดขวดก็จุดต่อ เจ้าขวดเล็กๆ ตรงพื้นข้างหน้านั่นแหละ ขวดเล็กแต่เสียงดังมากๆ คงได้ยินไปถึงเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์ ท่านจะได้ลงมาอวยพร

 

ถึงตอนนี้ตากล้องคืออ้อยหวานก็วิ่งหาที่หลบแล้ว

 

วันนี้เขาแห่เจ้ากันสามรอบ พอขบวนเจ้าพ้นไป แต่ละคนก็ต้องแขวนประทัดกันอีกรอบ ดูดิ ควันเก่ายังคลุ้งอยู่เลย

 

เสาแขวนประทัดของกลุ่มนี้สูงดีจริงๆ

 

ผลของการจุดประทัด สิบห้าวันสิบห้าคืน ตั้งแต่เช้าตรู่ไปจนถึงเที่ยงคืน

 

ที่หมู่บ้านอื่นขบวนแห่เขาจะจัดหนัก แต่งตัวกันเป็นทีม รูปนี้อ้อยหวานขอยืมจากน้องสาวมา เพราะไม่ได้ไปด้วย เป็นคนที่แพ้ควันบุหรี่ ควันธูป และควันประทัด เวลาญาติๆ ชวน น้องจะชอบตามไปดู แต่อ้อยหวานหนีขึ้นภูเขาดีกว่า

 

อีกวันหนึ่งอ้อยหวานติดตามพ่อไปที่หมู่บ้านบ้านเกิดของย่า พิธีไหว้เจ้าของที่นี่จัดกันอย่างยิ่งใหญ่ เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้าย

 

ความหมายของอาหารไหว้เจ้าวันตรุษจีน

ขอบคุณข้อมูลจาก สสส

 

คนไหว้เจ้าก็ไหว้ไป ข้างหลังคนไหว้เจ้าก็เป็นเวทีงิ้ว งิ้วก็เล่นไปด้วย ไม่แน่ใจว่าเล่นให้เจ้าดูหรือเปล่า

 

ไหว้เสร็จก็ถึงเวลาขนกลับบ้านกันละ

 

ดูท่าทางคงจะหนักน่าดู

 

โปรดติดตามอ้อยหวานเล่าเรื่องเมืองจีน ในตอนต่อไป

อ่านแอบดูจีนตอนที่แล้วได้ที่นี่

ตอน 1

ตอน 2

ตอน 3

 

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

ขอบคุณค่ะ

อ้อยหวาน

 

ข้ามกำแพงเหล็ก เปิดประตูไม้ไผ่ แหวกม่านผ้าไหม ไปแอบดูจีน 5

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

บล็อกนี้มาต่อเรื่องการฉลองตรุษจีนแบบต้นฉบับที่หมู่บ้านนอกเมืองซัวเถา ที่ฉลองกันสิบห้าวันสิบห้าคืน เป็นสิบห้าวันสิบห้าคืนที่ได้ยินและได้กลิ่นประทัดกันแต่เช้าตรู่ยันเที่ยงคืน แม้แต่ในหมู่บ้านเล็กๆ ก็ยังยึดถือประเพณีดั้งเดิมกันอย่างเหนียวแน่น ธรรมเนียมการฉลองตรุษจีนที่ทำกันอย่างจริงจัง ไม่ได้สร้างฉาก เพราะไม่รู้ว่าจะสร้างไปให้ใครดู หรือไปหลอกใคร

 

รายละเอียดของการฉลองตรุษจีนแท้ๆ อ้อยหวานขอคัดลอกจาก บุปผาหยกมาให้อ่านกัน ขอขอบคุณมาณ. ที่นี้

15 วันแห่งการฉลองตรุษจีน

วันที่ 1 ของปีใหม่ เป็นการต้อนรับเทวดาแห่งสวรรค์ และโลก หลายคนงดทานเนื้อ ในวันนี้เชื่อกันว่าจะเป็นการต่ออายุ และนำมาซึ่งความสุขในชีวิตให้กับตนเอง

วันที่ 2 ชาวจีนจะไหว้บรรพชน รวมถึงเทวดาทั้งหลาย และจะดีเป็นพิเศษกับสุนัข

วันที่ 3-4 เป็นวันของบุตรเขยที่จะต้องทำความเคารพแก่ พ่อตา แม่ยาย ของตน

วันที่ 5 เรียกว่า พูวู ซึ่งวันนี้ทุกคนจะอยู่กับบ้าน เพื่อต้อนรับการมาเยือนของเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย

วันที่ 6 ชาวจีนจะเดินทางไปเยี่ยมเยียนญาติพี่น้อง-เพื่อนฝูง พร้อมทั้งไปวัดสวดมนต์ เพื่อความร่ำรวย และความสุข    

วันที่ 7 ของตุรุษจีนเป็นวันที่ชาวไร่-ชาวนาชาวจีน นำเอาผลผลิตของตนออกมาทำน้ำที่ทำมาจากผักเจ็ดชนิด เพื่อฉลองวันนี้วันที่เจ็ดถือเป็นวันเกิดของมนุษย์ และอาหารในวันนี้จะเป็น หมี่ซั่ว-กินเพื่อชีวิตที่ยาวนาน และปลาดิบ-กินเพื่อความสำเร็จ    

วันที่ 8 ชาวฟูเจี้ยน จะมีการทานอาหารร่วมกันกับครอบครอบอีกครั้ง และเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนทุกคนจะสวดมนต์ของพรจาก เทียนกง เทพแห่งสวรรค์    

วันที่ 9 สวดมนต์ไหว้พระ และถวายอาหารแก่ เง็กเซียนฮ่องเต้    

วันที่ 10-12 เป็นวันของเพื่อน และญาติๆ  ซึ่งเชื้อเชิญมาทานอาหารเย็น

วันที่ 13 ถือเป็นวันที่ควรทานข้าวธรรมดา กับผักดอง ถือเป็นการชำระล้างร่างกาย

วันที่ 14 เป็นวันที่เตรียมงานฉลองโคมไฟ

วันที่ 15 คืนแห่งการฉลองโคมไฟ วันตรุษจีน

ขอบคุณข้อมูลจาก บุปผาหยก

รูปต่างๆ ที่ถ่ายมา อ้อยหวานไม่รู้ว่าเขาไหว้อะไรกันบ้าง เอาเป็นว่าไหว้เจ้าไหว้เทวดก็แล้วกัน

 

นอกจากของการไหว้เจ้า ของไหว้เจ้าต่างๆ และการจุดประทัดที่อ้อยหวานเล่าไว้ในบล็อกก่อน การฉลองตรุษจีนที่ครบสมบูรณ์แบบตามต้นฉบับแท้ๆ จะต้องมีสิ่งของ และกิจกรรมอีกหลายอย่าง ไม่ใช่พอรับเงินซองแดงแล้วก็จ่ายหรือเที่ยวกันลูกเดียว

กิจกรรมที่เห็นทำกันทุกบ้านเรือนคือการติดกระดาษไว้หน้าประตูบ้านเรียกว่า ‘ตุ๊ยเลี้ยง’ หรือ ชุนเหลี่ยน เป็นคำกลอนอวยพรปีใหม่ และแน่นอนต้องเขียนบนกระดาษสีแดง ที่นี่เขาติดแล้วติดเลย จะอยู่คู่บ้านไปจนถึงปีหน้า

 

ช่วงนี้เวลาเดินไปไหนมาไหนหน้าประตูบ้านหรือร้านค้าเกือบทุกบ้านจะมีบันไดพาดอยู่ เพราะต้องเลาะตุ๊ยเลี้ยงของปีก่อนออก ทำความสะอาดประตูบ้านและภายในบ้านให้สะอาดหมดจด

 

จากนั้นก็ไปหาซื้อตุ๊ยเลี้ยงคู่ใหม่มาติด ในหมู่บ้านอ้อยหวานเห็นมีขายอยู่หลายเจ้า พ่อเล่าให้ฟังว่า คนที่ลายมือสวย จะมานั่งเขียนตุ๊ยเลี้ยงตามสั่งกัน แล้วแต่ลูกค้าจะชอบคำอวยพรแบบไหน

 

ตุ๊ยเลี้ยง จะมากันสามแผ่นกระดาษ กระดาษยาวสองแผ่นติดข้างประตู อีกแผ่นติดขวางบนประตู

 

อ้อยหวานขอคัดลอกข้อมูลของตุ๊ยเลี้ยง จากบล็อกคุณ beewoodsมาให้อ่านเสริมความรู้กัน เธอเขียนได้น่าอ่าน ขอบคุณค่ะ

การเขียนกลอนคู่ด้วยพู่กันจีนเป็นศิลปะที่สืบทอดกันมาแต่โบราณที่มี เอกลักษณ์มากที่สุดอย่างหนึ่งของจีนเลยนะ ในปีค.ศ. 2009 องค์การยูเนสโกได้จัดกิจกรรมศิลปะพู่กันจีนไว้ในบัญชีผลงานมรดกทางวัฒนธรรม ที่ไม่ใช่วัตถุที่มีตัวตน โดยได้รับการรับรู้และยอมรับจากทั่วโลก วรรณคดีกลอนคู่ก็เป็นศิลปะอีกรูปแบบหนึ่งที่มีลักษณะพิเศษ เนื่องจากเป็นการผสมผสานระหว่างวรรณคดีและศิลปะการเขียนพู่กัน อย่างมีมิติและลงตัว

สำหรับการเขียนและติดกลอนคู่เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่นิยมทำในช่วงตรุษจีน เป็นกิจกรรมที่แสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึก และถือเป็นการต้อนรับสิ่งใหม่ๆที่ดีๆเข้ามาในชีวิต หยิงเหลียนหรือที่รู้จักกันในชื่อตุ้ยเหลียน (ตุ่ยเลี้ยง – แต้จิ๋ว) เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมจีน  เป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่รุ่งเรืองที่สุดในยุคราชวงศ์ชิง ตามประเพณีแล้วเมื่อถึงวันปีใหม่หรือตรุษจีนจะต้องเปลี่ยนชุดใหม่เพื่อความ เป็นศิริมงคล คนจีนนิยมติดตุ้ยเหลียนไว้ที่ทางเข้าบ้าน , ประตูหน้าต่างหรือกลางโถงรับแขก โดยกลอนทั้งสองข้างต้องสัมผัสกันและติดขนานกันเป็นคู่ คนไทยเชื้อสายจีนบางบ้านนิยมติดกลอนข้างละ 4 อักษร คู่หนึ่งรวมกันเป็น 8 อักษร แปดหรือปาในภาษาจีนเป็นเลขมงคล พ้องกับคำว่า ”ฟา” คือความเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยเงินทอง นอกจากใช้ในช่วงตรุษจีนแล้ว ตุ้ยเหลียนยังสามารถใช้ในโอกาสต่างๆ เช่น งานแซยิด, วันเกิด. มงคลสมรสหรือแม้แต่งานศพได้อีกด้วยนะเออ

ปัจจุบันการเขียนภาษาจีนในบางครั้งจะได้รับอิทธิพลจากตะวันตกเปลี่ยนมา เขียนแบบอ่านจากซ้ายไปขวา แต่สำหรับตุ้ยเหลียน ยังคงรักษาวิธีแบบเดิมๆไว้อย่างเคร่งครัด คือการเขียนและอ่านจากบนลงล่าง และขวาไปซ้าย

 

อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในการฉลองตรุษจีนคือ โคมไฟ ตามท้องถนน ในตรอกซอกซอย จะมีโคมไฟตรุษจีน ถนนบางสายจะยกกันมาเป็นทีมเลย พร้อมสายรุ้ง และธง ปลุกใจ

 

เขาจะติดโคมไฟกันอย่างจริงๆ จังๆ ไม่ได้ทำกันเล่นๆ เลย ถือกันว่าโคมไฟเป็นสัญลักษณ์แห่งสิริมงคล

 

และตามบ้านจะต้องมีอย่างน้อยบ้านละดวง  โคมจีนเป็นเครื่องชี้นำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มองเห็นบ้านที่ห้อยโคมจีนก่อน และช่วยให้คนในบ้านนี้มีความสุขความเจริญความร่ำรวย และยังหมายถึง แสงสว่างโชติช่วงชัชวาล

 

แต่อ้อยหวานชอบแบบทำมือแบบนี้ สวยดีคลาสสิคดีจัง

 

อาเฮียคนนี้นั่งทำนั่งเขียนไปขายไปอยู่ในตลาด โคมไฟที่สานด้วยไม้ไผ่หุ้มกระดาษแก้ว แล้วเขียนตัวอักษรแห่งความโชคดีด้วยสีแดง ในโคมจะมีที่สำหรับห้อยตะเกียงน้ำมันเล็กๆ

 

วันสุดท้ายเป็นวันแห่โคมไฟ ในตอนกลางคืน หนุ่มๆ ของหมู่บ้านจะรวมตัวกัน ถือโคมไฟ แล้วเดินวนไปทั่วหมู่บ้าน เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายต่างๆ ให้ออกไปจากหมู่บ้าน อ้อยหวานไม่ได้ออกไปดูหรอกนะ เพราะจุดประทัดกันแบบทิ้งทวนเลย รูปนี้ยืมมาจากน้องสาวไปดูที่เขาแห่โคมกันที่บ้านญาติหน้าตลาด

 

ถ่ายรูปตอนญาติผู้เป็นอัศวินที่กล้าหาญทั้งหลาย กลับมาจากการขับไล่ตัวร้ายออกไปจากหมู่บ้าน

 

หลังจากวันแห่โคมไฟแล้ว งานเลี้ยงก็ต้องเลิกลา ญาติทั้งหลายก็เริ่มทยอยกันกลับบ้าน ส่วนใหญ่จะอยู่กันที่เมืองกวางเจา ที่บ้านอื่นๆ ในหมู่บ้านก็เช่นกัน คงจะกลับไปกันหมด เพราะวันต่อมาหมู่บ้านก็เงียบเหงาไปเลย กลุ่มของเราอยู่ต่ออีกสองสามวัน แล้วก็ถึงเวลาโบกมืออำลาเช่นกัน

 

บล็อกหน้าจะเป็นบล็อกสุดท้ายของการแอบดูจีน อ้อยหวานจะพาไปเดินตลาด ชมร้านค้า ข้าวของ และผู้คน อย่าลืมแต่งตัวรอนะ เราไปแอบดูตลาดจีนกัน

อ่านแอบดูจีนตอนที่แล้วได้ที่นี่

ตอน 1

ตอน 2

ตอน 3

ตอน 4

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

ขอบคุณค่ะ

อ้อยหวาน

ข้ามกำแพงเหล็ก เปิดประตูไม้ไผ่ แหวกม่านผ้าไหม ไปแอบดูจีน 6

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

บล็อกสุดท้ายของการแอบดูจีน อ้อยหวานจะพาไปแอบดูตลาดจีนกัน การออกไปเดินชม เดินซื้อของในตลาด ชมร้านค้า ข้าวของ และผู้คน เป็นการสัมผัสกับวัฒนธรรมการกินอยู่แบบตรงๆ บ้านพ่ออยู่ไม่ไกลจากตลาด เลยได้ไปเดินดูคนดูของกันวันละหลายรอบ และที่อ้อยหวานกับน้องทำเป็นกิจวัติทุกเช้าก็คือ หกโมงเช้ากว่าๆ จะมีคนเห็นสองสาวก้มหน้าก้มตาเดินออกจากบ้าน มุ่งตรงไปที่ตลาด โดยไม่หยุดที่ไหนให้เป็นการเสียเวลา

 

ญาติที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้มีร้านขายซุปแนวเดียวกับต้มเลือดหมู แต่มีข้าวของ พืชผัก เครื่องเคียง ให้เลือกมากมายหลายชนิด เส้นก๋วยเตี๋ยวหลายแบบ เปิดขายเฉพาะช่วงเช้า และขายดีมาก

 

ชามนี้ของอ้อยหวาน มาเต็มชามเลย เขามีของให้เลือกมากมาย แต่อ้อยหวานสั่งเหมือนกันทุกเช้า รากบัว! ชอบมากๆ ไม่ได้กินมานานหลายปี ดูรูปแล้วท้องร้องเลย! อร่อยมาก รากบัวต้มมีให้เลือกสองแบบ แบบนิ่ม กับแบบกรอบ ตัดสินใจเลือกไม่ได้ ก็เอามาทั้งสองแบบเลย แต่ในรูปไม่เห็นรากบัวเลย เพราะมีหมูและไส้หมูบดบังเสียหมด

 

อิ่มท้องแล้วก็ถึงเวลาไปชมอย่างอื่นกันบ้าง อาเฮียคนนี้ขายเส้นหมี่ซั่ว ซึ่งขายดีมาก หมี่ซั่วเป็นอาหารมงคลของชาวจีน นิยมนำมาปรุงอาหารในช่วงเทศกาล และวันสำคัญต่างๆ มีความหมายว่า อายุยืนยาว (เหมือนเส้นหมี่) เส้นหมี่ซั่วนี้ ใช้ส่วนผสมเพียงสามอย่างเท่านั้นคือ แป้งสาลี เกลือ และน้ำ และนิยมเอาผัดทานเท่านั้น เพราะเอาไปทำอย่างอื่นจะไม่อร่อย

 

ตลาดก็คือถนนสายหลักของหมู่บ้านนี่แหละ จะเป็นแบบใครใคร่ขายก็ขายไป ใครใคร่ซื้อก็ซื้อไป รถยนต์ มอเตอร์ไซด์ จักรยาน มีทุกรูปแบบทั้งคนขายคนซืัอ

 

จะเป็นร้านเล็กๆ แบบนี้ก็มี ขายของชำสารพัดอย่าง

 

พ่อค้าบางคนก็ขายบนจักรยานอย่างนี้ ผักต่างๆ ดูสดจริงๆ เพราะคงจะเพิ่งเก็บจากสวน ใส่จักรยานมาขาย อาแปะคนนี้ขายผักวอเตอร์เครส มีขายกันหลายเจ้า

วอเตอร์เครสหรือที่เราคนไทยเรียกว่า สลัดน้ำ เป็นผักในตระกูลดอกกระหล่ำ ซึ่งมีลักษณะเป็นผักใบเขียว นิยมนำมาทำเป็นผักสลัด หรืออาจนำมาทานเป็นผักแกล้มกับน้ำพริก ตลอดจนเป็นส่วนประกอบของอาหารเมนูต่างๆตามใจชอบ แต่ทั้งนี้ในเรื่องคุณค่าทางอาหารแล้วมีประโยชน์เหลือเชื่อเลยทีเดียว ถ้าเทียบจากน้ำหนักที่เท่ากันแล้ว วอเตอร์เครสประกอบด้วยวิตามินซีมากกว่าส้ม มีแคลเซียมมากกว่านมทุกชนิด มีธาตุเหล็กมากกว่าผักขม และยังประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันอันตรายที่เกิดจาก สารอนุมูลอิสระอีกด้วย

อ่านรายละเอียดของผักวอเตอร์เครสได้ที่นี่

ขอบคุณค่ะ

 

อันนี้ไม่ใช่วอเตอร์เครส เป็นต้นอ่อนของผักอะไรสักอย่างที่อ้อยหวานฟังชื่อไม่ออก (ตอนนี้โรคปราสาทหูเสื่อมเป็นหนักกว่าเดิม เก็บข้อมูลไม่ค่อยจะได้แล้ว ยิ่งต่างภาษายิ่งหมดปัญญา) แต่ทานดูแล้วรสขมน้อยกว่าวอเตอร์เครส ผักทั้งสองชนิดที่นี่เขาใส่ในน้ำซุปกัน อร่อยดี เอามาใส่ก๋วยเตี๋วยก็คงจะอร่อยเหมือนกัน

 

มัน Chinese yam (Dioscorea polystachya) เอาชื่อมาจากวิกิพีเดีย เขาบอกมาว่าอยู่ในวงศ์กลอย อ้อยหวานไม่แน่ใจว่าเป็นมันมือเสือหรือเปล่า  คนจีนจะเอามาซอยเป็นแผ่นบางๆ แล้วต้มน้ำตาลกับสาคู

 

ถ้วยนี้ญาติต้มไว้รับรอง อร่อยมาก เสียอย่างเดียวคนจีนเขานิยมเอามาหั่นบางๆ วันต่อๆ มา พวกเราคนไทยก็ไปเปลี่ยนสูตรดั้งเดิมของเขาเสียอีก คือขอให้เขาหั่นให้ชิ้นใหญ่หน่อย จะได้รสชาติมันเต็มตัว

 

ร้านนี้ขายจำพวกหัวใต้ดิน สองชนิดนี้ดูแล้วคล้ายเผือก แข็งมาก คงจะต้องหั่นบางๆ แล้วต้มเหมือนกัน

 

ร้านขายลูกชิ้นกับปลาชนิดต่างๆ นึ่งเกลือ มีกันหลายร้าน ทานได้เลยหรือเอามาอุ่นนิดหน่อย เป็นอาหารจานด่วนที่อร่อยดีทีเดียวละ โดยเฉพาะเนื้อของลูกปลาฉลาม ตอนบอกให้น้องซื้อ ก็ไม่รู็กันว่าเป็นปลาอะไร ขาวจั๊ะ น่าเจี้ยะ เนื้อแน่น อร่อยจัง ราคาแพงกว่าปลาชนิดอื่นมาก ทานเกือบจะหมดแล้วถึงได้รู้ว่าเป็นปลาฉลาม ที่นี่เขาทำปลาหนึ่งเกลือกันเก่งมาก รสชาติพอดีไม่ต้องเติมอะไรเพิ่มอีก และปลาทุกชนิดไม่มีกลิ่นหรือรสคาวเลย แต่คนไทยคงต้องโปะพริกและบีบมะนาวเพิ่ม แต่คนจีนเขาไม่ทานมะนาวกัน ในตลาดหาซื้อมะนาวไม่ได้เลย

 

ขนมนมสาว?? อันนี้อ้อยหวานตั้งชื่อให้เอง ไม่ได้ซื้อมาลองทาน เลยไม่รู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร แต่ละลูกใหญ่มากเกือบเท่าส้มโอ

 

เต้าหู้มีกันหลายแบบมาก น้องสาวเป็นคนที่ชอบทานเต้าหู้ ไปเจอที่ไหนก็ต้องซื้อมาให้ญาติทอดให้ทาน ก็อร่อยแตกต่างกัน อย่างแบบข้างบนนี้ ดูแข็งๆ ยังกับชีสของฝรั่ง แต่ทอดออกมากรอบนอก และเนื้อข้างในนุ่มนิ่มละลายในปากเลย คิดถึงทีไรน้ำลายสอ

 

เจ้คนนี้ขายผักหลายชนิด ที่ดูสดมากๆ เดาเอาว่าคงมาจากหลังหมู่บ้านนี่เอง เพราะอ้อยหวานไปปั่นจักรยานชมมา บางอย่างรู้จักกันดีในเมืองไทย อ้อยหวานเก็บรูปบางอย่างมาลงให้ดูกัน เสียดายในหมู่บ้านไม่มีร้านขายเมล็ดผัก จะได้ซื้อไปฝากคุณผู้ชายที่บ้าน รายนี้เขาชอบปลูกผัก

 

เจ้าข้างบนมีชื่อว่า เอเอ ช่อย (AA Choy) หรือผักกาดหอมไต้หวัน ใช้ทานใบอ่อนและก้าน แต่ต้องปลอกเปลือกเขียวด้านนอกออก คงจะคล้ายกับก้านบร็อกโคลี่

 

ส่วนอันข้างบนไม่รู้ว่าคืออะไร จะหัวก็ไม่ใช่ จะแง่งก็ไม่เหมือน

 

อ้อยหวานปั่นจักรยานออกไปในทุ่ง เห็นกลุ่มนี้กำลังเก็บแตง? น้ำเต้า? หรือ? ใครรู้จักช่วยบอกที คงหนักเหมือนกัน เพราะบางลูกต้องช่วยกันอุ้ม

 

จากมายังคิดถึง ..ในช่วงเวลาหนึ่ง ช่วงเวลาสั้นๆ ที่จะอยู่ในความทรงจำไปนานๆ

สภาพหมู่บ้านแต่ละแห่งดูเก่าแก่และทรุดโทรมมาก หมู่บ้านของพ่อนี้ดูดีที่สุดแล้ว หมู่บ้านบางแห่งเห็นแล้วน่าเศร้ามาก อ้อยหวานเพียงแต่หวังไว้ว่า สักวันหนึ่งจะมีคนที่เห็นคุณค่าของความเก่าแก่โบราณ หันมาบูรณะ เก็บบ้านเรือนเก่าๆ ไว้ให้ลูกหลานเหลนดู แต่อาจจะเป็นแค่ฝันไป เพราะรอบๆ หมู่บ้านแต่ละแห่งกำลังถูกคุกคามด้วยตึกที่ดูใหม่และน่าดูน่าเกลียด...

อ้อยหวานขอจบบล็อกแอบดูจีนแต่เพียงเท่านี้

ขอบคุณน้องๆ ที่พาพ่อแม่ไปเที่ยว แถมกระเตงพี่สาวไปด้วย คราวหน้าไปเที่ยวไหนอีก อย่าลืมมาชวนอีกละ

ขอขอบคุณน้องโสทรที่ให้โอกาสและเนื้อที่ ขอบคุณเพื่อนๆ ที่ติดตามอ่าน และให้กำลังใจกัน แม้ว่าอ้อยหวานจะไม่ค่อยตอบคอมเม้นท์ แต่คอยอ่านอยู่ค่ะ เพราะนั่นคือกำลังใจให้เขียนบล็อก

 

อ่านแอบดูจีนตอนที่แล้วได้ที่นี่

ตอน 1

ตอน 2

ตอน 3

ตอน 4

ตอน 5

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

ขอบคุณค่ะ

อ้อยหวาน

เล่าเรื่องใบชา

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

บล็อกแอบดูเมืองจีนเพิ่งจะเสร็จไปสดๆ ร้อนๆ แม้จะก้าวเท้าออกจากแผ่นดินจีนมาเป็นเดือนแล้ว อ้อยหวานขอเหลียวหลัง ชะเง้อคอดูจีนอีกสักบล็อก แต่จะเป็นการจิบน้ำชาและเล่าเรื่องใบชา ขอบอกไว้ก่อนว่าความรู้เรื่องใบชาของอ้อยหวานนั้นน้อยนิด มีแต่เรื่องพื้นๆ เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ส่วนน้ำชา ดื่มก็ได้  ไม่ได้ดื่มก็โอเค แต่ที่ถูกใจแบบรักเลยคือกาน้ำชา ที่บ้านมีกาชาเก็บสะสมไว้เกือบ 50 ใบ เพราะคุณผู้ชายก็ชอบกาชาเหมือนกัน

ก่อนไปเมืองจีนอ้อยหวานถามลูกทั้งสองคนว่าอยากได้อะไรจากเมืองจีน ทั้งสองคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ชาจีน” เพราะค่านิยมการจิบน้ำชากำลังมาแรง ลูกสาวของอ้อยหวานสะสมใบชาจนเต็มตู้ และดื่มน้ำชาแทนการดื่มน้ำหวาน น้ำอัดลม ส่วนลูกชายก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่จะล้ำหน้าพี่สาวไปนิดนึง คือ ไม่ดื่มเฉยๆ เป็นคนที่ชอบหรือสนใจอะไรแล้ว จะขุดคุ้ยหาความรู้ไปจนถึงต้นตอ เช่น รู้ว่าอุณหภูมิของน้ำที่จะใช้ชงชานั้น ขึ้นอยู่กับชาแต่ละชนิด และส่วนใหญ่จะไม่ใช่น้ำที่เดือดพวยพุ่งมากๆ เพราะถ้าร้อนจัดจะทำให้ใบชาไหม้และมีรสขม เป็นต้น

 

เมื่อไปถึงเมืองจีน ไปบ้านไหนหรือเข้าพักโรงแรมไหน ก็ต้องมีการต้อนรับด้วยน้ำชา ก็คนจีนดื่มน้ำชามาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ย้อนไปไกลถึง 3000 กว่าปี อีกทั้งมณฑลฝูเจี้ยนและมณฑลกวางตุ้งนั้นเป็นแหล่งผลิตใบชาอันดับต้นๆ ของประเทศจีน

 

คณะของเรามีโอกาสไปนั่งจิบชา ชิมชา ที่ร้านขายชาก่อนถึงเมืองเซี่ยเมิน ร้านค่อนข้างใหญ่มีใบชาหลากหลายชนิด อ้อยหวานชิมชาจนลิ้นชา เลือกซื้อใบชากันไม่ถูกเลย คนที่ดื่มชาแล้วงั้นๆ อย่างอ้อยหวาน ลองชิมแล้วก็ยังว่ามันเหมือนๆ กันไปหมด ดีที่ลูกสั่งมาว่าอยากได้ชาอู๋หลงและชาผู่เอ๋อร์ ทำให้แคบมาสักนิดนึง แต่โอ้..ชาอู๋หลงก็มีอีกหลายชนิดแตกต่างกันไป ส่วนชาผู่เอ๋อก็ทำไมมันแพงอย่างนี้ กว่าจะออกมาจากร้านได้ กระเป๋าสตางค์ก็เบาไปมาก

 

ไหใบชาที่ร้านขายชา ราคาไม่เบาเลย

 

แล้วโชคใบชาก็หล่นทับอ้อยหวานอีก คนจีนที่นี่เขานิยมให้ของขวัญเป็นใบชา ใส่กล่องและถุงสีแดงสวยๆ มีคำอวยพรดีๆ ควรค่าเป็นของขวัญที่ทั้งคนให้และคนรับเป็นปลื้ม พ่อของอ้อยหวานได้รับของขวัญใบชามามากมาย และขนกลับไปเมืองไทยไม่หมด ใบชาของพ่อส่วนหนึ่งเลยได้เดินทางไกลมาแคนนาดา เป็นของฝากให้หลานๆ และลูกเขยคนไกล

 

ต้นชามีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Camellia sinensis เป็นพืชในสกุล Camellia และอยู่ในวงศ์ Theaceae มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินเดีย

ต้นชาเป็นไม้พุ่มที่มีใบเขียวตลอดปี โดยปรกติแล้วจะไม่ปล่อยให้สูงเกินสองเมตร ดอกจะมีสีเหลืองซีดเกือบขาว มีขนาด 2.5-4 ซ.ม. มี 7-8 กลีบ ใบมีขนาดยาว 4-15 ซม กว้าง 2-5 ซม ยอดและใบอ่อนสองสามใบจากยอดเท่านั้นที่จะเก็บมาทำใบชา การเก็บชาจะเก็บด้วยมือทุกๆ หนึ่งหรือสองอาทิตย์ ต้นชาที่นิยมปลูกกันจะมีสองสายพันธุ์คือ ชาจีน (Camellia sinensis var. sinensis) เป็นชาใบเล็ก และชาอัสสัม (Camellia sinensis var. assamica) เป็นชาใบใหญ่ที่ใช้ทำชาดำ

ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย

 

ลูกชาหนึ่งลูกจะมีเมล็ดอยู่สามเมล็ด เม็ดของชานั้นมีขนาดใกล้เคียงกับเมล็ดแมคคาเดเมีย ในยูนานทางภาคใต้ของประเทศจีนใช้น้ำมันจากเม็ดชาทำอาหาร

น้ำมันเมล็ดชาเป็นที่รู้จักในประเทศจีน นานกว่า 1,000 ปี มาแล้ว เนื่องจากมีองค์ประกอบของไขมันที่ดีต่อร่างกายไม่ด้อยไปกว่าน้ำมันมะกอก และไม่มีกรดไขมันทรานส์ ซี่งทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินเอ ดี อี และเค ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้น้ำมันชายังมีกรดไขมันอิ่มตัวซึ่งไม่ดีต่อร่างกายต่ำ ในขณะที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว หรือกรดโอเลอิก (กรดโอเมก้า 9) สูงถึงประมาณ 87-81% กรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง (กรดโอเมก้า 6) ประมาณ 13-28% และ กรดแอลฟาไลโนเลอิก (กรดโอเมก้า 3) ประมาณ 1-3% กรดไขมันไม่อิ่มตัวเหล่านี้สามารถช่วยลดระดับ LDL (คลอเรสเตอรอลชนิดไม่ดี) และเพิ่มระดับ HDL (คลอเรสเตอรอลชนิดดี) ในร่างกาย ป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดตีบตัน โรคอัมพาต โรคความดัน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจได้ จึงดีต่อสุขภาพของผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน สตรีมีครรภ์ และผู้สูงอายุ

อ่านรายละเอียดได้ที่เว็ปไซด์ของ ศูนย์วิจัยและพัฒนาชาน้ำมันและพืชน้ำมัน

 

ต้นชาของลูกสาว ปลูกจากเมล็ดที่สั่งซื้อทางอินเทอร์เน็ท ต้นชานั้นถ้าปล่อยให้เติบโตตามธรรมชาติโดยที่ไม่ไปตัดเล็มมัน จะสูงได้ถึง 3 เมตร

 

และแน่นอนชัวๆ ว่าชาวจีนดื่มน้ำชาเป็นชาติแรกของโลก มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยืนยันอย่างแน่ชัด โดยเริ่มจากการใช้น้ำชาในการรักษาโรค ต่อมาน้ำชาก็กลายมาเป็นเครื่องดื่มประจำวันของคนจีนทั่วประเทศ และแพร่หลายไปทั่วโลก คำภาษาอังกฤษ ‘ที’ (tea) หรือฝรั่งเศส ‘เท’ (té) มาจากสำนวนแต้จิ๋ว ‘เต้’ ที่แปลว่าชา ส่วนคำว่า ชา (cha) ในภาษาไทย ญี่ปุ่น หรืออินเดียนั้น มาจากสำนวนกวางตุ้ง 'ฉ่า'ก็แปลว่าชาเช่นกัน

 

ชาจีนแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 6 ประเภทคือ ชาเขียว ชาขาว ชาเหลือง ชาอูหลง ชาดำ และชาผู่เอ๋อร์ ทั้งหมดนี้มาจากต้นชาชนิดเดียวกัน แต่แตกกันตรงกรรมวิธีแปรรูปและตากแห้ง และบางชนิดต้องมีการหมักและบ่มอีกด้วย ยิ่งผ่านกรรมวิธีแปรรูปมากเท่าไรสีของน้ำชาจะยิ่งเข้มข้นขึ้น

 

ชาอูหลงที่วางขายอยู่ในซอยเล็กๆ ทื่ถนนคนเดิน จงซานลู่ (Zhongshan) เมืองเซี่ยเมิน (Xiamen)

ชาอูหลง เป็นชากึ่ง หมัก ผ่านกระบวนการนวดเล็กน้อย ใช้เวลาไม่มากนัก มีกลิ่นหอม รสชาดชุ่มคอ ถ้าเป็นชาน้ำร้อนจะเห็นสีเขียวของใบชาอยู่ รสชาติจะจืดกว่าชาเขียว น้ำชามีสีแดงเข้ม หมักใบสดระหว่างผลิตบางส่วน ต้นกำเนิดของชาอูหลงอยู่ที่ประเทศจีน ในจังหวัดฝูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) ซึ่งภาษาจีนใช้ว่า “วูหลงฉา” อันแปลความหมายได้ว่า มังกรดำ

ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย

 

ส่วนถาดนี้เป็นชาดำ แต่คนจีนจะเรียกกันว่าชาแดง เพราะชาที่สีดำของคนจีนคือชาผู่เอ๋อร์เท่านั้น

 

ชาผู่เอ๋อร์ชนิดแผ่นกลม ที่ราคาแพงมาก อ้อยหวานซื้อมาหนึ่งก้อนเป็นของขวัญให้พ่อ เป็นชาผู่เอ๋อร์แผ่นกลมที่เขาอัดมามีรูปลิงอยู่ตรงกลางสำหรับปีลิงโดยเฉพาะ และมีคำอวยพรอยู่ด้วย

ชาผู่เอ๋อร์ เป็นชาที่ปลูกทางภาคใต้ของมณฑลหยุนหนาน (ยูนนาน) ที่อำเภอผู่เอ๋อร์ โดยชนชาติหยี ซึ่งเป็นชนชาติส่วนน้อยของมณฑลหยุนหนาน ชาผู่เอ๋อร์ นับว่าเป็นชาที่ดังและมาแรงมากในปัจจุบัน เปรียบกันว่ามีราคาเท่ากับทองคำเลยทีเดียว ชาผู่เอ๋อร์เป็นชาหมัก น้ำชามีสีดำ ผลิตมากจากชาพันธ์ใบใหญ่ยูนนานเท่านั้น ชาชนิดนี้ผู้ใดได้ดื่มเป็นครั้งแรกจะรู้สึกว่ามีกลิ่นแรงและรสชาติเข้มข้น มาก แต่เมื่อดื่มเป็นครั้งต่อ ๆ ไปจะรู้สึกติดใจจนลืมไม่ลง ชาผู่เอ๋อร์มีกรรมวิธีการผลิดแบบโบราณโดยการหมักไว้ในเข่งตะกร้าสานด้วยไม้ ไผ่และรองด้วยใบตอง หมักแล้วอัดเป็นก้อนตั้งแต่ขนาดเท่าหัวแม่มือ ไปจนถึงขนาดเท่าโต๊ะกลม ๆ แล้วเก็บไว้ตั้งแต่ 1 ปี 5 ปี 10 ปี ไปจนถึง 20 ปี แล้วนำออกขาย

ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย

 

ใบชาไม่ใช่จะเป็นเพียงแค่เครื่องดื่มในชีวิตประจำวันของชาวจีนเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลไปถึงศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณีของจีนอย่างลึกซึ้งเข้าไปในสายเลือดเลยทีเดียว เช่นในพิธีแต่งงานจะต้องมีพิธียกน้ำชา ที่คู่บ่าวสาวจะต้องคุกเข่าเสริฟน้ำชาให้พ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ ส่วนในศิลปะนั้นชาก็มีอิทธิพลมากมาย ตั้งแต่วรรณคดี ศิลปะการเขียนด้วยพู่กัน ปรัชญา รวมไปถึงงานปั้นงานฝีมือ กาน้ำชาของจีนนั้นจัดได้ว่าเป็นเลิศในปฐพี

กาชาในรูปข้างบนนั้นสวยมากๆ และก็แพงมากๆ ด้วย

 

ไม่เพียงแต่กาชาที่สวยเหลือหลาย โถใส่ชาก็งามจริงๆ หนอ อันนี้เป็นโถชาส้มโอที่อ้อยหวานเคยเล่าไว้ในบล็อกนี้

 

โถนี้สวยไหมค่ะ 3800 หยวน สองหมื่นกว่าบาทเอง!!

 

หรือกลั้นใจยกทั้งไหไปเลย

 

ที่หมู่บ้านของพ่อเขาใช้ชุดชาแบบนี้กัน มีชี่อเรียกว่า ชากังฟู (kung fu tea) แต่ไม่มีมัดมวยนะ ชุดชากังฟูนี้จะมาเป็นชุด มีถาด ถ้วยที่มีฝาปิดเรียกว่า ไกวาน (Gaiwan) และถ้วยน้ำชาเล็กๆ น่ารัก เรียกว่าต้องค่อยๆ จิบน้ำชาจริงๆ

กรรมวิธีชงชากังฟู (kung fu tea) ก็เป็นศิลปชั้นเลิศ ประดิดประดอย พิถีพิถัน คนชงก็ค่อยๆ ชงไป คนคอยดื่มก็ต้องใจเย็น ถึงเวลาดื่มก็ค่อยๆ จิบ เพราะถ้วยมันเล็ก กรรมวิธีย่อๆ มีดังนี้  เริ่มจากเอาน้ำร้อนราดถ้วยไกวาน (Gaiwan)  ใส่ใบชาลงในถ้วยให้เต็ม แล้วเทน้ำร้อนลงไป น้ำชาครั้งแรกนี้เขาไม่ดื่มกัน แต่จะใช้ล้างถ้วยชา น้ำที่สอง ที่สาม ที่สี่ หรือมากกว่านั้นถึงจะเป็นน้ำชาที่ใช้ดื่มกัน พอแขกดื่มเสร็จก็ต้องวางน้องถ้วยน้อยๆ ลงบนถาด จากนั้นคนชงก็จัดการเอาน้ำร้อนล้างถ้วยอีกครั้ง แล้วเริ่มขั้นตอนชงเหมือนเดิมอีก โดยไม่ต้องเปลี่ยนใบชา ทำเช่นนี้ไปทุกรอบจนกว่าแขกจะลาจาก และถาดรองรับน้ำข้างล่างก็เต็มพอดี บางบ้านจะมีท่อน้ำเล็กถ่ายน้ำจากถาดไปลงในถังอีกที

 

ชุดชากังฟู (kung fu tea) ชุดนี้เป็นของอีกบ้านหนึ่ง เขาใช้กาชาเล็กๆ แทนถ้วยไกวาน (Gaiwan) และมีไม้ไว้คีบถ้วยร้อนๆด้วย

เล่าเรื่องใบชาก็จบลงเพียงเท่านี้ ขอลาไปจิบน้ำชาก่อนนะค่ะ

อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับชาเพิ่มเติม ได้ที่นี่ค่ะ

http://www.lcsd.gov.hk/ce/Museum/Arts/7thingsabouttea/en/ch1_0_0.htm

http://chineseteas101.com/

https://en.wikipedia.org/wiki/Tea

https://en.wikipedia.org/wiki/Camellia_sinensis

http://www.mymajestea.com/blog/tea_article_one_three_multiple_teas/

http://www.guideinchina.com/food/detail/id/80.html

https://en.wikipedia.org/wiki/Chinese_tea_culture

 

 

I would like to Thanks everyone for all the resources for this blog. Thank you.

 

ขอให้เพื่อนๆมีแต่ความสุข

 

ขอบคุณค่ะ

 

อ้อยหวาน


ดื่มด่ำความงามของตะนาวศรี..ที่สังขละบุรี

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

 

บ่อยครั้ง..การเรียนรู้ตัวเองคือการออกไปเรียนรู้โลก

การท่องโลกกว้าง แบกเป้เดินป่า ปั่นจักรยาน หรือแม้แต่การเข็นจักรยานขึ้นเขา.. ไม่ว่าเราจะไปสุดไกลแสนไกลเพียงใด ได้สัมผัสธรรมชาติ  กลิ่นอายท้องถิ่น เก็บประสบการณ์จากวิถีชีวิต ธรรมเนียม ประเพณีของผู้คนที่แตกต่าง สุดท้ายสิ่งที่เราได้คือ การเรียนรู้ตัวเอง

เราเรียนรู้ว่าเราแข็งแรงไหม? อ้อยหวานหมายถึงทั้งร่างกายและจิตใจ

เดินหนึ่งกิโลก็บ่นไปตลอดทาง = มีแต่ปากที่แข็งแรงบ่นไม่หยุด

ยังไม่เคยลองปั่นจักรยานสักกิโลเดียวก็พูดยืนยันแล้วว่า ฉันทำไม่ได้ = จิตใจไม่แข็งแรง

การได้ออกไปเร่ร่อนคนเดียวในต่างถิ่น ไกลบ้าน แปลกผู้คน สัมผัสกับความไม่คุ้นเคย แตกต่างจากชีวิตประจำวันที่เคยๆ หมอนและที่นอนที่เคยนอนหลับสบาย และอาหารการกินที่ถูกปาก อย่างในศาสนาพุทธเรียกว่าการธุดงค์ ก็คือการออกไปค้นพบตัวเองนั่นเอง

จะท่องเที่ยวไปทำไม? หากไปกี่ร้อยกี่พันไมล์ ก็ได้มาแต่ของที่ระลึก

 

วันนี้อ้อยหวานมาเล่าเรื่องการเดินทางช้าๆ กับจักรยานต่อจากตอนที่แล้วต้องมนต์เสน่ห์ภูผา ณ.ทองผาภูมิเป็นทริปปั่นจักรยานเที่ยวไทยตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ขณะนี้ก็ยังเล่าไม่จบ เพราะต้องคั่นด้วยบล็อก แอบดูจีนและถ้าไม่รีบเขียนให้จบ ก็จะต้องค้างคาไปอีกเนื่อนนาน เพราะมีโปรแกรมไปเรียนรู้ตัวเองในต่างถิ่นอีกในไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้า ฉะนั้นอย่ารั้งรอไปเราไปเที่ยวกาญจนบุรีกันต่อ

 

จากทองผาภูมิอ้อยหวานและคุณผู้ชายที่บ้านก็จัดขนจักรยานขึ้นรถเมล์อย่างไม่มีข้อสงสัย เพราะถนนสายเดียวที่ไปยังสังขละบุรีนั้น ในความเห็นของเรา เป็นถนนที่ไม่ปลอดภัยสำหรับจักรยาน ถนนสาย 323 นี้เป็นเพียงถนนสายเล็กที่ไม่มีไหล่ทาง แต่รถวิ่งกันเพียบ ทั้งรถตู้ขนนักท่องเที่ยว รถเก๋ง รถเมล์ ไปจนถึงรถบรรทุก เพราะถนนจะไปสุดทางและข้ามไปยังชายแดนพม่า แต่ระหว่างทางอ้อยหวานยังเห็นนักปั่นจักรยานบนถนนอยู่หลายคน ก็ถนนสายนี้เป็นอีกสายหนึ่งที่นิยมกันในหมู่นักปั่นขาแข็งและใจมั่น ขอบอกว่าสวยสมกับคำล่ำลือจริงๆ ส่วนความโหดก็หนักหนาสาหัสไม่แพ้ความสวย แต่ความเสี่ยงนั้นสูงกว่าความสวยและความโหดมากมาย ขนาดนั่งบนรถเมล์ยังต้องลุ้นกันจนเหนื่อย ถึงสังขละบุรีเกือบหมดแรง ยังกะปั่นมาเองเลยละ เพราะต้องเอาใจช่วยลุ้นรถเมล์คันเก่าที่บรรทุกผู้คนและข้าวของมาเต็มคันรถ ให้ค่อยๆ คืบคลานไต่ขึ้นเขาโหดๆ หลายเนินเขา แล้วยังต้องคอยลุ้นเหล่ารถนักท่องเที่ยวช่างซิ่งและช่างแซงทั้งหลาย โค้งแล้วโค้งเล่า คุณๆ เหล่านั้นเยียบคันเล่งกันแบบไม่เกรงใจ ไม่รู้ว่าจะเร่งรีบไปวิมานไหน สงสัยนัก!

 

วิวจากบนรถเมล์ สวยสมกับคำล่ำลือจริงๆ

 

ที่พักของเราในสังขละบุรีอยู่ในทำเลเหมาะเจาะจริงๆ บนเนินเขาที่สามารถชมวิวโค้งน้ำสุดสวย และยังมีวิวสะพานมอญที่เป็นดาวจรัสแสงแห่งสังขละบุรี บริเวณนี้เป็นที่ที่แม่น้ำ 3 สายไหลมาบรรจบกันได้แก่ แม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำรันตี และแม่น้ำบีคลี่ เรียกได้ว่าได้ชมวิวกันอย่างจุใจจริงๆ ทานข้าวไปชมวิวไป แม้แต่ว่ายน้ำอยู่ในสระก็ยังได้ชมวิวสวยๆ

 

ได้ชมวิวงดงามตระการตาตลอดทุกช่วงเวลา ภาพนี้ถ่ายจากสระว่ายน้ำ ทิวเขาตะนาวศรีกับแม่น้ำคดโค้งนั้นสวยมากมาย

ประวัติความเป็นมาของเมืองสังขละบุรี

สังข ละบุรี มีคำขวัญว่า “เมืองสามหมอก ดินแดนสามวัฒนธรรม” คือมีทั้ง ไทย มอญ กะเหรี่ยง มีสะพานไม้อุตมานุสรณ์ เป็นสัญลักษณ์เด่น ที่ใครมาก็ต้องมาเยือน สะพานไม้ที่ยาวที่สุดอันดับ2ของโลกแห่งนี้ พร้อมกับสัมผัสวัฒนธรรมแบบคนมอญ ทาแป้งมอญ การเทินของไว้ที่หัว และภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ รวมทั้งมีแง่มุมทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอีกด้วย เจดีย์สามองค์

สังขละบุรี เป็นอำเภอที่ติดต่อกับชายแดนพม่า ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรี ประมาณ 215 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากอำเภอ ทองผาภูมิ 74 กิโลเมตร เมืองชายแดนแห่งนี้ รายล้อมด้วยธรรมชาติและขุนเขาอัน เขียวขจี มีแม่น้ำซองกาเลีย ไหลจากต้นกำเนิดในประเทศพม่า พาดผ่านอำเภอสังขละบุรีหล่อเลี้ยงผู้คนสองฟากฝั่งแม่น้ำ และเชื่อมสัมพันธ์ ชนชาติมอญทั้งสองประเทศ มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ขอบคุณข้อมูลจาก sangkla.sadoodta.com

 

สะพานมอญในยามเย็น

สะพานมอญ… สะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย

เดิมทีชาวบ้านเรียกกันว่า สะพานบาทเดียว สร้างด้วยแพไม้ไผ่ต่อติดกัน และบริเวณตรงกลาง เป็นแพเลื่อนเปิด-เปิด เวลามีคนเดินข้ามก็จะมีคนชักสะพานให้มาเชื่อมกัน และเก็บเงินคนละ 1 บาท ต่อมาหลวงพ่ออุตตมะเห็นว่า ชาวบ้านเดือดร้อนที่ต้องเสียเงินข้ามสะพานทุกวัน จึงมีความ คิดสร้างสะพานเชื่อมโดยใช้ไม้เนื้อดี ทั้งหมดแล้วเสร็จเมื่อประมาณปีพ.ศ.2530 ใช้ระยะเวลา ก่อสร้างประมาณ 8 เดือน โดยแรงงานชาวมอญและแรงศรัทธาจากชาวบ้าน โดยไม่ได้ใช้ เครื่องจักรเลย

ปัจจุบันมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สะพานอุตตมานุสรณ์ มีความยาวถึง 438 เมตร นับได้ว่าเป็น สะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย สร้างข้ามลำน้ำซองกาเลีย สำหรับให้ประชาชนฝั่งตัว อ.สังขละบุรีและฝั่งหมู่บ้านชาวมอญเดินข้ามสัญจรไปมา โดยปัจจุบันได้รับการปรับปรุงซ่อม แซมเป็นรุ่นที่ 4 แล้ว

บริเวณสะพานแห่งนี้เป็นจุดชมวิวทะเลสาบเขื่อนวชิราลงกรณ์ที่สวยงามมาก สามารถมองเห็น ลำห้วยสายต่างๆ คือ ซองกาเลีย บีคลี่ และรันตีที่ไหลมารวมกันเป็นสามประสบ

ขอบคุณข้อมูลจาก สามประสบรีสอร์ท

 

อีกมุมหนึ่ง และต่างเสี้ยวเวลา

 

แสงยามเย็นที่อ่อนโยน ช่วงนี้เรือหางยาววิ่งกันขวักไขว่ เพราะเป็นช่วงที่จะออกไปชมอาทิตย์อัสดงพ้นเหลี่ยมเขากัน

 

ใครใคร่ชมวิว..ก็ชมไป ใครใคร่เล่นน้ำก็เล่นน้ำไป แต่ไม่ได้กระโดดจากบนสะพาน ไม่รู้ว่าน้ำในแม่น้ำตื้นไปหรือเปล่า น้ำในเขื่อนนั้นมีน้อย เพราะภัยแล้งที่เมืองไทยได้ประสบกัน

 

สะพานมอญยามเช้า

 

ช่างสมกับชื่อเมืองสามหมอกเสียจริงๆ

 

โดดเดี๋ยว แต่ไม่เดียวดาย

เธออีกคนหนึ่งที่กำลังเรียนรู้ตัวเองด้วยการออกไปเรียนรู้โลก เดินทางคนเดียวจากบ้านที่อยู่ไกลแสนไกลหลายพันไมล์ ในท้องถิ่นที่แปลกตา ต่างภาษาและวัฒนธรรม  นี่คือสิ่งที่เด็กไทยไม่ค่อยจะมีกัน เพราะเราถูกสั่งสอนให้หวาดกลัวโลก มองการเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวเป็นสิ่งแปลกประหลาด ไปไหนต้องมีเพื่อนไปด้วย ทำให้ไม่กล้าเผชิญกับโลกโดยลำพัง

แต่..เราจะมีเพื่อนไปด้วยทุกแห่งหนหรอกหรือ? สุดท้ายก็ต้องเดินทางคนเดียวกันทั้งนั้น

 

ดินแดนสามวัฒนธรรม

แต่ในรูปส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวไทยปลอมตัวเป็นสาวมอญทั้งนั้น

 

ดาราแห่งสังขละบุรี  

เราเอาจักรยานออกไปกันแต่เช้า ปั่นเที่ยวชมสถานที่กันเล็กๆ น้อยๆ พอได้ออกกำลัง

 

เจดีย์พุทธคยาที่หลวงพ่ออุตมะจำลองมาจากประเทศอินเดีย

 

วัดวังก์วิเวการาม

 

“เมืองสามหมอก ดินแดนสามวัฒนธรรม”

โปรดติดตามปั่นเที่ยวไทยกับอ้อยหวานในตอนต่อไป

 

อ่านปั่นเที่ยวไทยตอนที่แล้วได้ที่นี่

 

รางวัลแด่คนช่างฝัน

ปั่นจักรยานทัวร์ริ่ง มันปิ้ง ปิ้ง จริงๆ นะ

หอมกลิ่นไอฝน ยลความงามสีเขียว ณ.เชิงเขานครศรีธรรมราช

ถามหาความทรงจำที่ราชบุรี

เยือนถิ่นตะนาวศรี ดินแดนแห่งขุนเขา ณ.สวนผึ้ง

เส้นทางในฝันแห่งตะนาวศรี

อดีต..กับ..ปัจจุบัน ที่กาญจนบุรี

ท่ามกลางหินผาในซอกหลืบของขุนเขาตะนาวศรี

คืบก็ภูเขา ศอกก็ภูเขา ณ.ทองผาภูมิ 

ต้องมนต์เสน่ห์ภูผา ณ.ทองผาภูมิ

 

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

 

ขอบคุณค่ะ

 

อ้อยหวาน

360 องศา ที่มีแต่เรากับ...เขา

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

วันนี้แหละเป็นวันของเธอ ภูเขาลูกนั้นกำลังรอเธออยู่ ดังนั้นจงเร่งรีบไป

“Today is your day, your mountain is waiting. So get on your way.”

― Dr. Seuss

Dr. Seuss คือนามปากกาของ Theodor Seuss Geisel นักเขียนวรรณกรรมเด็กเรืองชื่อแห่งสหรัฐอเมริกา หนังสือของเขาบางเล่มมียอดขายกว่าหกร้อยล้านเล่ม และได้รับการแปลถึง 20 ภาษา อ้อยหวานรู้จัก Dr. Seuss จากการอ่านหนังสือก่อนนอนกับลูก เมื่อตอนที่ลูกๆ ยังเล็กๆ ส่วนใหญ่จะเขียนเป็นคำกลอน พ้องเสียงอ่านแล้วสนุก เขาวาดการ์ตูนในหนังสือของเขาเอง หนังสือทุกเล่มของเขาแอบแฝงไปด้วยคำสอนดีๆ แก่เด็กๆ สอนให้ใฝ่ฝัน และก้าวไปสู่ฝันอย่างมั่นใจ กล้าเผชิญกับความยากลำบาก และกล้าตัดสินใจ ภูเขาถูกนำมาเปรียบเปรยกับความยากลำบาก ในขณะเดียวกันภูเขาคือ ความท้าทาย และความใฝ่ฝันอันสูงสุด แต่ไม่เกินเอื้อม..

 

หลังจากชมวิว สังขละบุรีกันหนำใจ เราขนจักรยานขึ้นรถเมล์กันอีกครั้ง เดินทางออกจากสังขละบุรีกันแต่เช้า รถเมล์มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองกาญจนบุรี แต่เราขอลงครึ่งทางที่แยกทับศิลา  แล้วปั่นจักรยานย้อนขึ้นเหนือมุ่งไปหน้าไปให้ภูเขาโอบกอดที่เขื่อนศรีนครินทร์ การปั่นจักรยานครั้งนี้ต้องแบ่งเป็นสองช่วง เพราะกว่าจะได้ลงจากรถเมล์ และเริ่มปั่นกันก็ปาไปเกือบเที่ยง และเป็นเที่ยงที่แดดเปรี้ยงสุดๆ แม้ว่าวิวระหว่างทางจะงดงามเพียงใด ทั้งร่างกายและจิตใจของเราสองคนร้อนระอุไปกับอากาศรอบตัว ระยะทางกว่า 40 กิโลนั้นไม่มากมาย แต่อากาศร้อนที่ไม่เป็นใจกับการปั่นจักรยาน และเส้นทางขึ้นเขา ทำให้เรากังวลว่า วันนี้เราจะไปถึงที่หมายไหม? หรือจะมีที่พักระหว่างทางหรือไม่? สำหรับคนที่กำลังมองหาเส้นทางสวยๆ สำหรับปั่นจักรยาน ถนนสายทับศิลา-ช่องสะเดานี้สวยมากมาย แถมมีรถวิ่งน้อยด้วย

เสียดายจัง! ที่เราผ่านมาทางนี้ผิดเวลา หากเป็นช่วงเช้าเราคงจะเพลิดเพลินกับวิวสองข้างทางมากกว่านี้

 

กาญจนบุรีก็มีเจดีย์แขวนด้วยนะ

 

ผ่านปางช้างเลยได้แวะเก็บรูปลูกช้างไปฝากลูกสาวที่บ้าน เจ้าตัวเล็กที่ไม่ค่อยจะเล็กนี้ แต่ละตัวแสนรู้นัก

 

เราแวะหลบแดดและพักค้างคืนกันที่รีสอร์ทริมแม่น้ำแควใหญ่ที่เงียบสงบ รูปนี้ถ่ายในตอนเช้าของวันถัดมา บรรยากาศยามเช้านั้นงดงามนัก

 

เช้าวันถัดไปเหลือระยะทางเพียงสิบหกกิโลก็จะถึงจุดหมาย เราจึงไม่เร่งรีบนัก ปั่นช้าๆ กินลมชมวิวไปเรื่อยๆ ถนนบางช่วงจะแล่นเรียบแม่น้ำแควใหญ่แบบแนบสนิท โดยมีภูเขาสูงขนาบข้างไปตลอดแนว อ้อยหวานมองเห็นที่พักและแพริมน้ำอยู่หลายแห่ง  

 

ดูไร่สตอเบอรี่นี้สิ ทุกต้นปลูกอยู่ในถุงพลาสติก แล้วนั่งอยู่บนหิ้งเด่นเป็นสง่า แปลกจัง! อย่างนี้เรียกว่าไร่ได้อีกหรือ มีบริการให้เก็บสตอเบอรี่สดจากต้นด้วย

 

เส้นทางขึ้นๆ ลงๆ จนมาถึงจุดนี้ ‘สะพานเจ้าเณร’ หลังจากข้ามสะพานไปแล้ว ก็มีแต่ขึ้นกับขึ้น เราแวะทานข้าวเช้ารอบสองกันที่ตลาด อ้อยหวานไม่แน่ใจว่าชื่อตลาดเอราวัณ หรือตลาดศรีสวัสดิ์ เพราะระยะทาง 500 เมตร ที่เข็นจักรยานขึ้นมานี้ กินแรงไปมากโข แต่พอออกจากตลาดก็ต้องร้องจ๊ากส์ เพราะทางที่ตรงดิ่งขึ้นเขาตรงหน้ามันชันกว่าเดิมอีก

 

กว่าจะมาถึงจุดนี้ก็หมดแรงข้าวแกงจากตลาดพอดี แต่วิวนั้นสวยคุ้มค่ากับการฟันฝ่าขึ้นมา เราพักค้างคืนที่บ้านพักของเขื่อนศรีนครินทร์ ที่มีบริการห้องพักมากมายในราคาที่พอเหมาะ แถมมีร้านอาหารที่เปิดบริการเช้า กลางวัน และเย็นอีกด้วย

 

รุ่งขึ้นเราปั่นจักรยานออกไปชมสันเขื่อน แต่ขอบอกเอาไว้ก่อนว่า สำหรับคนที่ไม่ได้พักที่บ้านพักของเขื่อนจะขึ้นไปชมสันเขื่อนได้ทางฝั่งตรงกันข้ามของแม่น้ำเท่านั้น (ถนนก่อนที่จะข้ามสะพาน)

 

วิวเหนือเขื่อน

 

360 องศา ที่มีแต่เรากับ ...เขา จริงแหละ!

 

เขื่อนศรีนครินทร์

เขื่อนศรีนครินทร์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เสมือนสัญลักษณ์ของจังหวัดกาญจนบุรี นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมบนสันเขื่อนที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 รองจากเขื่อนภูมิพล

เขื่อนศรีนครินทร์ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "เขื่อนเจ้าเณร"ตั้งอยู่บริเวณบ้านเจ้าเณร ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ เป็นเขื่อนประเภทแกนสันเขื่อนเป็นดินเหนียว ถมทับด้านบนด้วยหินเป็นก้อนๆ เขื่อนศรีนครินทร์ถือว่าเป็นเขื่อนประเภทหินถมแกนดินเหนียวที่ใหญ่ที่สุด และมีความจุมากที่สุดในประเทศไทย คือ 17,745 ล้านลูกบาศก์เมตร เกิดเป็นพื้นที่ในอ่างเก็บน้ำ 419 ตารางกิโลเมตร ตัวเขื่อนมีความสูงจากฐานราก 140 เมตร สันเขื่อนยาว 610 เมตร กว้าง 15 เมตร เป็นเขื่อนประเภทอเนกประสงค์แห่งแรกของโครงการพัฒนาลุ่มน้ำแม่กลอง ช่วยลดอุทกภัยในลุ่มแม่น้ำแม่กลอง เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา ให้ประโยชน์ด้านการประมง และหลักๆ คือใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 5 เครื่อง ขนาดกำลังผลิตรวมทั้งสิ้น 720,000 กิโลวัตต์ ให้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยปีละ 1,250 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงและเขื่อนเจ้าพระยา และเป็นเขื่อนชนิดหินถมแกนดินเหนียวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย นักท่องเที่ยวสามารถแวะชมทัศนียภาพอันงดงามบนสันเขื่อนได้ตลอดทั้งปี

ขอบคุณข้อมูลจาก kanchanaburi.co

 

เส้นทางลงจากเขื่อนอีกด้านหนึ่งนั้นสวยยิ่งนัก รู้ทั้งรู้ว่าลงไปแล้ว เราก็ต้องข้ามสะพาน แล้วขึ้นเขากลับไปบ้านพักบนเขื่อนอีกรอบ แต่ทางสวยๆ อย่างนี้ใครจะห้ามใจไหว

 

อากาศที่แสนจะสดชื่น แสงอาทิตย์อ่อนๆ ของยามเช้า พรรณไม้เขียวขจีของป่าดงพงไพร ยินและยลหมู่นกร้องขับขาน เรียกว่าถูกโอบกอดโดยธรรมชาติอย่างแท้จริง

 

ในวันนั้นเราได้แวะไปชมน้ำตกเอราวัณอีกด้วย น้ำตกในช่วงที่แล้งน้ำไม่สวยเท่าที่ควร แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวทั้งต่างชาติและคนไทยแวะมาชมกันมากมาย เพราะน้ำตกเอราวัณนี้เรืองชื่อนักในด้านความงาม

 

มีทั้งปลาน้อยใหญ่และนางเงือกเชื้อสายรัสเซียให้ชมด้วย

 

น้ำตกเอราวัณ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ อำเภอศรีสวัสดิ์ อยู่ในแนวลำน้ำแควใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 600 ตารางกิโลเมตร อยู่บนทางหลวงหมายเลข 3199 ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกับทางไปเขื่อนศรีนครินทร์

น้ำตกเอราวัณ เดิมชื่อ "น้ำตกสะด่องม่องลาย"ที่ได้มาจากต้นน้ำ ชื่อลำธารม่องไล่ และห้วยอมตะลา น้ำตกเอราวัณเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ สายน้ำไหลลงมาจากยอดเขาสูง ผ่านโขดหินผา และป่าที่ปกคลุมด้วยแมกไม้นานาชนิด มารวมกันเป็นแอ่งน้ำเป็นช่วงๆ ทำให้เกิดเป็นชั้นของนำ้ตก ที่มีความสวยงามแตกต่างกันไป น้ำตกมีด้วยกันทั้งหมด 7 ชั้น มีชื่อเรียกแต่ละชั้นคล้องจองกัน จากชั้นแรกถึงชั้นที่เจ็ดคือ "ไหลคืนรัง วังมัจฉา ผาน้ำตก อกนางผีเสื้อ เบื่อไม่ลง ดงพฤกษา ภูผาเอราวัณ"น้ำตกแต่ละชั้นมีระยะทางแตกต่างกันตั้งแต่ ชั้นต้นๆ เดินไปแค่ไม่กี่ร้อยเมตร จนถึงชั้นบนสุด 1,520 เมตร ซึ่งต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการเดินผ่านป่าขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุด เป็นหน้าผาทะลุเปิดโล่ง บางช่วงค่อนข้างลำบาก ชัน และลื่นบ้าง ชั้นบนสุดหลายคนบอกว่ารูปร่างผามองดูแล้วคล้ายกับหัวช้างสามเศียรเอราวัณ จนเป็นที่มาของชื่อน้ำตกเอราวัณนั่นเอง

ขอบคุณข้อมูลจาก kanchanaburi.co

 

เราจอดจักรยานไว้ข้างล่างแล้วเดินขึ้นเขาไปจนถึงชั้นบนสุด ซึ่งมีระยะทาง 1,520 เมตร ขอบอกว่าเส้นทางสวยร่มรื่น ค่อนข้างสูงชัน และมีคนเยอะมากๆ

 

แผนที่การเดินทางของวันนั้น จุดที่พุ่งปรี้ดขึ้นไปคือ การเดินขึ้นไปยังชั้นสูงสุดของน้ำตกเอราวัณ กว่าจะกลับถึงที่พักเล่นเอาเราสองคนสะบักสะบอม

อ้อยหวานกับคุณผู้ชายได้ปีนขึ้นภูเขาของเราแล้ว ทีนี้ก็เป็นตาของเพื่อนๆ บ้างละ

 

 

โปรดติดตามปั่นเที่ยวไทยกับอ้อยหวานในตอนต่อไป

 

อ่านปั่นเที่ยวไทยตอนที่แล้วได้ที่นี่

 

รางวัลแด่คนช่างฝัน

ปั่นจักรยานทัวร์ริ่ง มันปิ้ง ปิ้ง จริงๆ นะ

หอมกลิ่นไอฝน ยลความงามสีเขียว ณ.เชิงเขานครศรีธรรมราช

ถามหาความทรงจำที่ราชบุรี

เยือนถิ่นตะนาวศรี ดินแดนแห่งขุนเขา ณ.สวนผึ้ง

เส้นทางในฝันแห่งตะนาวศรี

อดีต..กับ..ปัจจุบัน ที่กาญจนบุรี

ท่ามกลางหินผาในซอกหลืบของขุนเขาตะนาวศรี

คืบก็ภูเขา ศอกก็ภูเขา ณ.ทองผาภูมิ 

ต้องมนต์เสน่ห์ภูผา ณ.ทองผาภูมิ

ดื่มด่ำความงามของตะนาวศรี..ที่สังขละบุรี

 

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

 

ขอบคุณค่ะ

 

อ้อยหวาน

ลาที มิใช่ลาก่อน..กาญจนบุรี

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

กาญจนบุรีเป็นจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายหลากหลาย อาจจะต้องอยู่เป็นเดือนถึงจะเที่ยวชมได้หมด ยิ่งถ้าปั่นจักรยานเที่ยวไปอย่างช้าๆ เก็บรายละเอียด ละเมียด ละไม ไปเรื่อยๆ จนเกือบเรียกได้ว่าทุกกระเบียดนิ้ว ยิ่งต้องใช้เวลาหลายเดือน ความงามตามธรรมชาติแบบนี้ไม่ต้องสร้างสรร แต่งเติม เพียงแต่เก็บรักษา ไม่ให้ใครมาแตะต้อง เปลี่ยนแปลง แค่นี้ก็จะเป็นความงามอมตะ

 

ก่อนลาจากกาญจนบุรี อ้อยหวานและคู่หูได้กลับมาใช้เวลาดื่มธรรมชาติที่ใกล้ๆ กับต้นแม่น้ำแม่กลอง คือไม่ไกลจากจุดที่แม่น้ำแควใหญ่และแควน้อยไหลมาบรรจบกัน แถวนี้อยู่ในเขตอำเภอเมือง แต่ก็ยังสวยงามเป็นธรรมชาติมาก

 

 

เรือดูดทรายในสายน้ำแม่กลอง

 

สายน้ำ ภูเขา และตะวัน  ความงามที่แตกต่าง แต่กลมกลืน

 

วิวเดิม แต่เวลาเปลี่ยน

 

ไม่รีบร้อนไปไหน ขอนั่งเอนหลัง ดื่มด่ำกับฉากงามๆ ที่ธรรมชาติสร้างสรร มันช่างงามจับใจยิ่งนัก ทุกครั้งที่อ้อยหวานได้มีโอกาสชมตะวันอย่างนี้ มันเหมือนกับได้พักกาย พักใจ ได้ชาร์จแบตให้แก่ตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นพระอาทิตย์ขึ้น หรือพระอาทิตย์อัสดง ทั้งสองอย่างเป็นภาพที่มีความงามไม่แพ้กัน และขอบอกว่าไม่ว่าจะชมพระอาทิตย์ที่จุดไหนในโลก ความรู้สึกที่ได้คงที่เสมอ คือ ยอดเยี่ยม! เพราะพระอาทิตย์ก็เป็นดวงเดียวกัน

 

หลังจากชมตะวันจนจับใจแล้ว วันรุ่งขึ้นก็มีคนเห็นจักรยานสองคันมุ่งหน้าออกไปทางใต้ของอำเภอเมืองกาญ เราปั่นบนถนนเลียบแม่น้ำแม่กลอง

 

เป็นถนนลูกรังที่ไม่มีรถวิ่งผ่าน แต่มีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าสนใจ ให้ไปค้นพบค้นหา เช่น เหมืองทราย

 

กระชังเลี้ยงปลามีให้ชมตลอดทาง

 

มองข้ามแม่น้ำไปยังวัดเรืองชื่อของกาญจนบุรี

 

และเขื่อนสุดท้ายที่เราได้ชม เขื่อนแม่กลอง

เขื่อนแม่กลอง เดิมชื่อ เขื่อนวชิราลงกรณ เป็นเขื่อนชลประทาน สร้างขึ้นเมื่อราวปี พ.ศ. 2508 ตั้งอยู่ที่อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี เป็นเขื่อนแห่งแรกของจังหวัดสร้างขึ้นบนแม่น้ำแม่กลอง โดยการขุดลำน้ำขึ้นมาใหม่ มีช่องประตูจำนวน 8 ช่องด้วยกัน

ประโยชน์หลัก คือเพื่อการชลประทาน ให้น้ำแก่เกษตรกรสองฝั่งแม่น้ำ ทั้งในจังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี จนถึงนครปฐม และยังใช้เพื่อป้องกันน้ำท่วม ช่วยไล่น้ำทะเลหนุนจากปากแม่น้ำแม่กลองที่จังหวัดสมุทรสงครามอีกด้วยบริเวณตอนบนยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดมากมายหลากหลายพันธุ์ โดยมีสถานีเพาะพันธุ์ปลาอยู่ในบริเวณใกล้ตัวเขื่อนเพื่อช่วยเพาะพันธุ์และ ส่งเสริมให้ชาวบ้านเลี้ยงปลาเศรษฐกิจ

ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย

 

หลังจากข้ามสันเขื่อนเราสองคนก็วกกลับเข้าตัวเมือง ด้วยการปั่นไปไหว้หลวงพ่อชินประทานพรที่วัดถ้ำเสือ

วัดถ้ำเสือ เป็นวัดที่มีชื่อเสียงไม่น้่อย รวมถึงยังถือว่าเป็นวัดที่มีพระที่มีองค์ใหญ่ที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรี พระเจดีย์ที่มีความสวยงามโดดเด่น สามารถมองเห็นได้จากในระยะไกล เพราะตั้งอยู่บนเนินเขา ใครที่มาเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรี สามารถแวะเยี่ยมชมวัด สักการะพระบรมสารีริกธาตุภายในพระเจดีย์เกศแก้วปราสาท และนมัสการหลวงพ่อชินประทานพร

วัดถ้ำเสือตั้งอยู่บนเนินเขา ในตำบลม่วงชุม อำเภอท่าม่วง เป็นอำเภอที่อยู่ก่อนถึงตัวเมืองกาญจนบุรี เดิมเป็นเพียงสำนักสงฆ์เล็กๆ ที่อยู่ในบริเวณถ้ำเสือด้านล่างริมเนินเขา ต่อมาได้แรงศรัทธาจากชาวบ้าน ร่วมกันสร้างและบูรณะ จนกลายเป็นวัดที่ใหญ่โต และมีความวิจิตรงดงาม

ขอบคุณข้อมูลจาก kanchanaburi.co

 

วิวจากบนเจดีย์

หลวงพ่อชินประทานพร"ขนาด สูง 9 วา 9 นิ้ว หน้าตัก 5 วา 3 ศอก 9 นิ้ว นับว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามเป็นอย่างยิ่ง อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ ปางประทานพร พระหัตถ์ขวายกขึ้นระดับพระอุระ ปลายนิ้วชี้กับนิ้วโป้งจรดกัน กลางฝ่ามือมีดอกไม้ พระหัตถ์ซ้่ายหงายมือวางบนพระเพลา (ตัก) ปลายนิ้วชี้กับนิ้วโป้งจรดกัน กลางฝ่ามือมีรูปวงล้อธรรมจักร รอบองค์พระมีเรือนแก้วครอบลักษณะเดียวกับพระพุทธชินราช องค์พระประดับกระเบื้องสีทอง สุกอร่าม รอบนอกมีซุ้มครอบองค์พระทั้งองค์ไว้อีกชั้นหนึ่ง นับได้ว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามเป็นอย่างยิ่ง

ขอบคุณข้อมูลจาก kanchanaburi.co

 

เจดีย์ของวัดถ้ำเขาน้อย วัดที่อยู่ติดกับวัดถ้ำเสือ

 

โบสถ์ของวัดถ้ำเสือ

 

ทิวทัศน์ด้านหลังของวัด

 

เราปั่นจักรยานกลับเข้าตัวเมืองกาญ บนถนนเลียบแม่น้ำฝั่งเดียวกับวัดถ้ำเสือ ผ่านสุสานที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีเยี่ยม ตามหลักของฮวงจุ้ยคือ หันหน้าสู่แม่น้ำ มีภูเขาหนุนหลัง

 

เรียงรายอย่างมีระเบียบ

 

เราโบกมืออำลากาญจนบุรีกันด้วยภาพนี้

ลาที มิใช่ลาก่อน..

กาญจนบุรีเป็นจังหวัดที่แพ็คเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยว และส่วนใหญ่จะเป็นในแนวอิงแอบธรรมชาติ ทำให้เป็นที่หลงใหลของคนเสพธรรมชาติหลายต่อหลายคนรวมทั้งอ้อยหวาน และการที่จะอนุรักษ์ธรรมชาติให้อยู่ยงคงกระพันไปถึงลูกๆ หลานๆ พร้อมๆ กับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เลื่องชื่อของประเทศนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญที่เรียกได้ว่าเป็นหัวใจของเมืองเลยทีเดียว แต่ขึ้นชื่อว่าแหล่งท่องเที่ยว ก็มีสิ่งตามมาหลายอย่างที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับธรรมชาติรอบๆ ไหนจะควันพิษจากรถบรรทุกนักท่องเที่ยวที่พากันแห่แหนเข้าไปในป่า อีกทั้งขยะนานาชนิด คนเสพธรรมชาติเหล่านั้นได้กลายเป็นคนทำลายธรรมชาติไปด้วยในตัว อ้อยหวานขอฝากข้อคิดอันนี้ไว้ อย่าปล่อยให้สิ่งดีดีถูกทำลายไป

เพราะการสรรสร้างขึ้นใหม่ (ให้เหมือนเก่า) นั้น มันยากกว่าการเก็บรักษามากมาย!

 

กาญจนบุรีไม่ใช่จุดหมายปลายทางของอ้อยหวานและคุณผู้ชายในทริปนี้ จักรยานสองคันนี้จะไปหมุนล้อที่ไหนอีก? โปรดติดตามในตอนต่อไป

 

อ่านปั่นเที่ยวไทยตอนที่แล้วได้ที่นี่

รางวัลแด่คนช่างฝัน

ปั่นจักรยานทัวร์ริ่ง มันปิ้ง ปิ้ง จริงๆ นะ

หอมกลิ่นไอฝน ยลความงามสีเขียว ณ.เชิงเขานครศรีธรรมราช

ถามหาความทรงจำที่ราชบุรี

เยือนถิ่นตะนาวศรี ดินแดนแห่งขุนเขา ณ.สวนผึ้ง

เส้นทางในฝันแห่งตะนาวศรี

อดีต..กับ..ปัจจุบัน ที่กาญจนบุรี

ท่ามกลางหินผาในซอกหลืบของขุนเขาตะนาวศรี

คืบก็ภูเขา ศอกก็ภูเขา ณ.ทองผาภูมิ 

ต้องมนต์เสน่ห์ภูผา ณ.ทองผาภูมิ

ดื่มด่ำความงามของตะนาวศรี..ที่สังขละบุรี

360 องศา ที่มีแต่เรากับ...เขา

 

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

 

ขอบคุณค่ะ

 

อ้อยหวาน

 

เล่นลิ่วล้อลม ชมตะวัน ณ. ชายหาดตรัง

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

จากกาญจนบุรี อ้อยหวานกับคุณผู้ชายที่บ้านต้องหาทางล่องใต้สู่ภูเก็ต เพราะเรามีนัดไว้กับหัวใจ มีนัดกับพ่อแม่และน้องๆ ก่อนที่จะลาจากเมืองไทย อีกทั้งยังกลับมาสู้ความหนาวเย็นของแคนนาดาไม่ได้ หากยังไม่ได้ไปนั่งนอนฟังเสียงคลืน โล้ลมทะเล และอาบน้ำเค็ม

 

เพราะไม่อยากปั่นจักรยานลงใต้ย้อนรอยเดิมที่เราเคยปั่นเมื่อต้นปี 2015   อีกทั้งไม่อยากปั่นบนทางหลวงหมายเลข 4 หรือถนนเพชรเกษม เราจึงต้องปรึกษาแผนที่กูเกิ้ลดูกันอย่างละเอียดอีกครั้ง แล้วมีความเห็นตรงกันว่า เราเกาะหลังนกไปลงที่ตรังกันดีกว่า สนามบินดอนเมืองอยู่ห่างจากตัวเมืองกาญแค่นั่งรถหนึ่งชั่วโมงเอง แล้วนกก็แสนดีอีกด้วย ให้จักรยานขึ้นฟรีไม่ต้องเสียสตางส์สักแดงเดียว อ้อยหวานขอขอบคุณนกแอร์ที่มี โปรแกรมอนุญาตให้ผู้โดยสาร 1 คน สามารถโหลดจักรยานได้ฟรี 1 คัน ถือว่าเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวสีเขียวอย่างเต็มร้อย ขอบคุณค่ะ

ไปถึงตรังฟ้าฝนเป็นใจ หลั่งไหลมาให้เย็นชุ่มฉ่ำใจ รูปข้างบนทำให้อ้อยหวานนึกถึงลูกนกสีเหลืองกำลังออกมาจากท้องแม่นก   

 

เพราะมีเวลาไม่มากนัก จักรยานสองคันจึงเริ่มหมุนล้อออกจากตัวเมืองตรัง มุ่งตรงสู่ทะเล เราจะไปดูให้เห็นกับตาว่าทะเลตรังนั้นจะงดงามสมคำเรื่องลือหรือไม่ ที่จริงจังหวัดตรังนั้นมีสิ่งที่เรืองชื่อกว่าชายหาดคือ มีของกินอร่อยๆ เรืองชื่อมากมายเช่น ขนมเค้กเมืองตรัง ขนมจีบไส้สังขยา ขนมเปี๊ยะ ติ่มซำ ไปจนถึงหมูย่าง เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของนักกินเลยทีเดียว แต่เราสองคนไม่ใช่นักกิน เลยไม่ได้ลิ้มลองทุกอย่างที่กล่าวมา เราสองคนชอบแวะทานระหว่างทาง เจอะเจออะไร หิวเมื่อไรก็หยุดทาน แต่จะไม่มีการดั้นด้นไปหาของอร่อย ของเด่น ของดี ของดังทานกัน อาหารเช้าของวันนี้ เราหยุดแวะทานขนมจีนที่กระต๊อบเล็กๆ ริมทาง ที่อ้อยหวานชอบมากๆ กับขนมจีนปักษ์ใต้ก็คือ ผักเหนาะ ผักสดพื้นบ้านแสนอร่อย ไปต่างที่ ต่างอำเภอ ต่างจังหวัด แต่ละแห่งก็มีผักเหนาะแปลกๆ ให้ลองทาน ซึ่งอ้อยหวานก็ลองจนเกือบหมดถาด คิดถึงจังผักเหนาะ!

ชายหาดตรัง เป็นชายหาดมีแนวหาดที่ยาวติอต่อกัน มีหาดเล็กหาดน้อยเรียงแถวกันมาติดๆ คือหาดยาว หาดสั้น หาดหยงหลิง  หาดเจ้าไหม หาดฉางหลาง และหาดปากเมง เราปั่นจักรยานไปเริ่มที่จุดปลายสุด คือที่หาดยาว หาดที่ทำให้เรารุ้สึกเหมือนจับฉลากได้รางวัลที่หนึ่ง ขอกระสิบบอกว่ารีสอร์ทเปิดใหม่ริมชายหาดที่นี่น่าอยู่มาก
 

หาดยาว เป็นหาดในดวงใจของเรา เงียบสงบ ขาวสะอาด ไม่มีขยะ ไม่มีเก้าอี้ ไม่มีร่ม ไม่มีแผงขายอาหาร มีแต่ธรรมชาติล้วนๆ และ (ในความคิดเห็นของเรา) เป็นหาดที่สวยที่สุดในหมู่ชายหาดตรัง

 

สวยมากมาย

 

ท่าเรือไปยังเกาะต่างๆ ของตรัง

 

เย็นวันนั้น เราใช้เวลานั่งชมการแสดงแห่งพระอาทิตย์กันอย่างเงียบๆ ที่มีแต่เพียงเสียงคลื่นกระทบฝั่ง

 

และเสียงปรบมือในใจของอ้อยหวาน ปรบมือให้กับสีสันที่ธรรมชาติได้สร้างสรร

 

แสงสีสุดท้ายของวัน

 

เช้าของอีกวันเราโบกมืออำลาหาดยาว แล้วปั่นไปบนถนนเลียบหาด มุ่งหน้าขึ้นเหนือ

 

เราแวะชมชายหาดกันไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน หาดหยงหลิงเป็นอีกหาดหนึ่งของชายหาดตรัง

“หาดหยงหลิง” ตั้งอยู่ในบริเวณหน่วยพิทักษ์ 2 ของอุทยานแห่งชาติเจ้าไหม อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เป็นหาดทรายรูปโค้งขนานไปกับดงสนทะเลขนาดใหญ่ ที่ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นตั้งแต่ปากทางเข้าไปจนสุดแนวชายหาด ทำให้บรรยากาศดูร่มเย็นเหมาะแก่การนั่งพักผ่อนชมทิวทัศน์เป็นอย่างยิ่ง

 

คำว่า “หยงหลิง” มาจากภาษามลายูท้องถิ่นปักษ์ใต้ โดย “หยง” แปลว่า แหลม และ “หลิง” แปลว่า กะลาสีเรือ เนื่องจากในโบราณมีการเล่าสืบต่อกันมาว่า เคยมีเรือสำเภามาล่มแถวนี้ เนื่องจากในอดีตเป็นเส้นทางขึ้นล่องของเรือสำเภาจากเมืองปีนัง เพื่อเข้ามาค้าขายในจังหวัดต่างๆ ทางฝั่งอันดามัน

ทางด้านเหนือของชายหาดแห่งนี้ จะเป็นที่ตั้งของ “เขาหยงหลิง” เขาหินปูนที่มีรูปทรงแปลกตา หรือมีลักษณะเหมือนกับจมูกของมนุษย์ แถมยังมีหน้าผาที่สูงชันอย่างมากด้วย

สลับกับตันไม้น้อยใหญ่ที่ขึ้นแทรกอยู่ตามโขดหินในขนาดต่างๆ ถือเป็นความงดงามที่ธรรมชาติสรรค์สร้างเอาไว้

ขอบคุณข้อมูลจาก ผู้จัดการ Online

 

หาดเจ้าไหม

อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมมีพื้นที่ครอบคลุมอยุ่ในท้องที่อำเภอสิเกา และอำเภอกันตัง จังหวัดตรัง อยู่ทางทะเลอันดามัน ประกอบด้วยป่าชายเลน หญ้าทะเล เกาะแก่ง มีหาดทรายขาวนวลเรียงยาวไปตามผืนแผ่นดินกว่า 20 กิโลเมตร และสนทะเลตามธรรมชาติอันสวยงาม อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมมีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 144,292.35 ไร่ หรือ 230.87 ตารางกิโลเมตร

ขอบคุณข้อมูลและอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม

 

หาด???

 

หาด??? ไม่รู้ชื่อ แต่สวยมากมาย

 

ถนนเลียบชายหาดตรัง ร่มรื่นด้วยต้นสนน้อยใหญ่ เป็นถนนสายสวยๆ อีกแห่งที่น่าปั่นจักรยานเที่ยวมากๆ

 

หาดปากเมง หาดสุดท้ายของวันนี้ และเป็นหาดที่มีคนเยอะที่สุดในชายหาดตรัง ที่นี่มีร้านอาหาร และที่พักเรียงรายอยู่เต็มถนนริมหาด เรามาถึงเที่ยงวันพอดิบพอดีเลยได้ลิ้มรสอาหารทะเลสดๆ ของตรัง แถมมื้อเย็นอีกมื้อ

 

เล่นลิ่ว ล้อลม ชมตะวัน

 

ณ. ชายหาดตรัง

 

แผนที่การเดินทางของวันนี้ 37 กิโลเมตร เลียบชายหาดตรัง

โปรดติดตามปั่นเที่ยวไทยกับอ้อยหวานในตอนต่อไป

อ่านปั่นเที่ยวไทยตอนที่แล้วได้ที่นี่

รางวัลแด่คนช่างฝัน

ปั่นจักรยานทัวร์ริ่ง มันปิ้ง ปิ้ง จริงๆ นะ

หอมกลิ่นไอฝน ยลความงามสีเขียว ณ.เชิงเขานครศรีธรรมราช

ถามหาความทรงจำที่ราชบุรี

เยือนถิ่นตะนาวศรี ดินแดนแห่งขุนเขา ณ.สวนผึ้ง

เส้นทางในฝันแห่งตะนาวศรี

อดีต..กับ..ปัจจุบัน ที่กาญจนบุรี

ท่ามกลางหินผาในซอกหลืบของขุนเขาตะนาวศรี

คืบก็ภูเขา ศอกก็ภูเขา ณ.ทองผาภูมิ 

ต้องมนต์เสน่ห์ภูผา ณ.ทองผาภูมิ

ดื่มด่ำความงามของตะนาวศรี..ที่สังขละบุรี

360 องศา ที่มีแต่เรากับ...เขา   

ลาที มิใช่ลาก่อน..กาญจนบุรี

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

ขอบคุณค่ะ

อ้อยหวาน

 

อาบตะวัน หลับตาฝัน บน..ลันตา

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

อ้อยหวานได้ยินกิตศักดิ์อันโด่งดังของเกาะลันตาจากบล็อกปั่นจักรยานของคุณ  jan houtermansคุณเธอไปปั่นจักรยานที่เมืองไทยทุกปี ติดๆ กันมาเป็นสิบกว่าปีแล้ว เธอก็อาจจะรู้จักเมืองไทยทุกซอกทุกมุมยิ่งกว่าอ้อยหวานเสียอีก เกือบทุกครั้งที่คุณจันกับภรรยาไปปั่นจักรยานที่เมืองไทย ก็ต้องไปเริ่มต้น ที่จริงต้องพูดว่า ต้องไปอาบแดด แช่น้ำทะเล และกิน กิน กิน ที่เกาะลันตากันสองสามวัน ก่อนที่จะเริ่มปั่นเที่ยว (และกิน)

และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้อ้อยหวานอยากไปดูให้เห็นกับสองตาของตัวเองว่า เกาะลันตานั้นเป็นเช่นไร ขอบอกว่าผิดความคาดหมายของอ้อยหวานมาก เกาะลันตาไม่ใช่เกาะเล็กๆ ที่เงียบสงบอย่างที่นึกภาพไว้ แต่เป็นเกาะที่ใหญ่พอสมควร แล้วคำว่าเงียบสงบก็ใช้ไม่ได้กับเกาะลันตา ที่นี่มีโรงแรม ร้านอาหาร บาร์ ร้านนวด สปา และนักท่องเที่ยวต่างชาติมากมาย เผลอๆ นักท่องเที่ยวจะมากกว่าชาวเกาะเสียอีก

 

อันนี้เป็นการยืนยันได้เลยว่า ชายหาดของเมืองไทยนั้น อะเมซิ่ง! จริงๆ เพราะนอกจากวิวสวยแล้ว ยังมีของกินอร่อยๆ สปาและนวดไทยที่เรืองชื่อไปทั่วโลก เรียกได้ว่ามีความสะดวกสบายพร้อมเสร็จ

 

และคำว่า อะเมซิ่ง นี้ ก็คงใช้ได้กับเกาะลันตา ภาพชายหาดที่มีทรายละเอียดขาวสะอาด เยียดยาวไปสุดหูสุดตา น้ำใส และนิ่ง แทบจะไม่มีคลื่นเลย

 

โปรดนั่งเอนหลังลงบนเก้าอี้ชายหาด แต่อย่าหลับนะ ให้นั่งชมภาพทะเลและชายหาดที่อ้อยหวานเก็บมาฝาก

 

และอ่านข้อมูลเกาะลันตาที่อ้อยหวานคัดลอกมาจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ขอบคุณค่ะ

“ลันตา” เป็นชื่อเกาะขนาดใหญ่ มีรูปร่างเรียวยาว พื้นที่ 472 ตารางกิโลเมตร อยู่ในเขตพื้นที่อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่

ชื่อ “ลันตา” นั้น สันนิษฐานว่าเพี้ยนมาจากคำว่า “ลันตาส” ซึ่งเป็นภาษาชวา แปลว่าที่ย่างปลา เพราะในอดีต เกาะใหญ่แห่งนี้เป็นที่ที่ชาวเรือชวามักมาหยุดพักและย่างปลาเป็นอาหาร แล้วต่อมา เกาะนี้ก็เปลี่ยนฐานะมาเป็นเมืองท่าที่ชาวจีนและชาวอาหรับผู้แล่นเรือค้าขาย ในน่านน้ำภูเก็ต ปีนัง สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย แวะขึ้นมาพักและทำการค้าขาย จนในที่สุดก็กลายเป็นชุมชนคึกคัก

 

เกาะลันตาประกอบด้วยเกาะลันตาใหญ่ และเกาะลันตาน้อย โดยมีเกาะกลางคั่นอยู่ระหว่าง 2 เกาะนี้ แหล่งท่องเที่ยวทั้งหมดอยู่บนเกาะลันตาใหญ่ ซึ่งยาวประมาณ 30 กิโลเมตร กว้างประมาณ 6 กิโลเมตร โดดเด่นด้วยชายหาดยาวเรียงรายต่อเนื่องกันถึง 13 หาดทางฝั่งตะวันตก มีทั้งหาดหินและหาดทราย เพียบพร้อมด้วยที่พักหลากสไตล์ หลายราคา

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและการเดินทาง ได้ที่  ททท

 

ทีนี้ก็มาถึงการเดินทางของอ้อยหวาน จากหาดปากเมง ของจังหวัดตรังสู่เกาะลันตานั้น อ้อยหวานกับคุณผู้ชายใช้เวลาปั่นสองวัน ้และมีบางช่วงที่ต้องปั่นบนทางหลวง

 

แต่เราออกกันเช้าตรู่ ไม่ค่อยมีรถวิ่งเยอะนัก ก็เลยได้ภาพพระอาทิตย์ขึ้นบนทางหลวงหมายเลขสี่

 

และบางช่วงที่เราปั่นไปบนถนนสายน้อยร่มรื่น ที่คุณผู้ชายเสาะหามาจากแผนที่กูเกิ้ล

 

ในระหว่างที่แวะพักเหนื่อยที่ศาลาริมทาง เราได้พบเจอกับสาวน้อยน่ารักกำลังรอรถโรงเรียนและคุณแม่ ชุดนักเรียนของสาวน้อยสีสวยมาก เป็นสีฟ้าเขียวที่สดใส ลองนึกภาพเด็กนักเรียนใส่ชุดนักเรียนสีสวยๆ เต็มสนามหน้าโรงเรียน

คงจะสวยน่าดู ช่วงเวลาเช่นนี้แหละที่เติมสีสันให้แก่การท่องเที่ยวของอ้อยหวาน ขอบคุณมากค่ะที่อนุญาติให้ถ่ายรูป

 

เกาะลันตาน้อยอยู่ห่างจากฝั่งไม่มากนัก ขึ้นเรือข้ามฟากไปเพียงสิบนาที มีเรือสองลำวิ่งสวนไปกลับอยู่ตลอดเวลา เลยไม่ต้องรีบร้อน และดูเหมือนจะเต็มกันทุกเที่ยว

 

หลังจากลงจากลงจากเรือลำแรก เราต้องปั่นไปจนสุดปลายเกาะลันตาน้อย เพื่อไปขึ้นเรือข้ามฟากลำที่สอง

 

ดูเหมืยนว่าเรือข้ามฟากลำที่สองคงต้องเกษียนอายุการทำงานในเร็วๆ นี้

 

เช้าของอีกวันหนึ่ง เราปั่นจักรยานออกจากที่พักกันแต่เช้า เพื่อปั่นจักรยานเที่ยวรอบเกาะ เกาะลันตาใหญ่นอกจากจะมีชายหาดสวยๆ แล้ว ยังมีย่านชุมชนเก่าแก่อายุกว่าร้อยปี ที่มีชื่อว่า บ้านศรีรายา

 

มาถึงทันเวลาอาหารเช้า ได้ทานอาหารเช้าแกล้มวิวริมทะเล บ้านศรีรายามีร้านอาหารอยู่สองสามร้าน และยังร้านกิ๊ปช็อปเก๋ๆ  

 

เลยไปอีกหน่อยจะเป็นท่าเรือ มีเรือมีเรือบรรทุกนักท่องเที่ยวอยู่เต็ม สำหรับเราสองคนที่ไม่ค่อยชอบเรือหรือน้ำ ขอปั่นจักรยานไปต่อก็แล้วกัน
 

อีกฝั่งหนึ่งของเกาะลันตาไม่มีชายหาดสวยๆ ส่วนใหญ่จะเป็นป่าชายเลน ทำให้ข้างทางดูเขียวครึ้มกว่าฝั่งชายหาด

 

เราโบกมืออำลาเกาะลันตาด้วยการเข็นจักรยานขึ้นเรือ มุ่งหน้าสู่เกาะภูเก็ต จุดหมายปลายทางของทริปปั่นจักรยานเที่ยวไทยในครั้งนี้ เรียกว่าเป็นทริปที่ครบรสจริงๆ คือ จักรยาน รถไฟ เรืออากาศ และเรือน้ำ

 

น้ำทะเลสีฟ้าใส ความงามที่เป็นที่ใฝ่ฝันของคนทั่วโลก

อะเมซิ่ง! ไทยแลนด์

 

ทริปเก่าจบไปแล้ว ทริปใหม่กำลังจะเปิดฉาก คงจะไม่มีบล็อกของอ้อยหวานไปอีกสักประมาณสี่ห้าอาทิตย์ เหมือนเคยค่ะ พาจักรยานไปเรียนรู้โลก ฝากบ้านด้วยนะค่ะ

 

ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบ

 

อ่านปั่นเที่ยวไทยตอนที่แล้วได้ที่นี่

 

รางวัลแด่คนช่างฝัน

ปั่นจักรยานทัวร์ริ่ง มันปิ้ง ปิ้ง จริงๆ นะ

หอมกลิ่นไอฝน ยลความงามสีเขียว ณ.เชิงเขานครศรีธรรมราช

ถามหาความทรงจำที่ราชบุรี

เยือนถิ่นตะนาวศรี ดินแดนแห่งขุนเขา ณ.สวนผึ้ง

เส้นทางในฝันแห่งตะนาวศรี

อดีต..กับ..ปัจจุบัน ที่กาญจนบุรี

ท่ามกลางหินผาในซอกหลืบของขุนเขาตะนาวศรี

คืบก็ภูเขา ศอกก็ภูเขา ณ.ทองผาภูมิ 

ต้องมนต์เสน่ห์ภูผา ณ.ทองผาภูมิ

ดื่มด่ำความงามของตะนาวศรี..ที่สังขละบุรี

360 องศา ที่มีแต่เรากับ...เขา   

ลาที มิใช่ลาก่อน..กาญจนบุรี

เล่นลิ่วล้อลม ชมตะวัน ณ. ชายหาดตรัง

 

ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข

 

ขอบคุณค่ะ

 

อ้อยหวาน

Viewing all 244 articles
Browse latest View live