ชื่อบล็อก “ข้ามกำแพงเหล็ก เปิดประตูไม้ไผ่ แหวกม่านผ้าไหม” มีที่มาจากความรู้สึกของอ้อยหวานต่อประเทศจีน ที่เดี๋ยวอ่อน เดี๋ยวแข็ง เดี๋ยวยาก เดี๋ยวง่าย ประเทศจีนเปิดประเทศให้ผู้คนเข้าไปชมมาหลายปีแล้ว แต่กรรมวิธีการขอวีซ่ายังค่อนข้างยุ่งยาก สำหรับอ้อยหวานได้ขอวีซ่าที่เมืองออตตาวา แคนนาดา โดยใช้พาสปอร์ตแคนนาดา เพราะเคยชินกับอภิสิทธ์ของพาสปอร์ตแคนนาดา ที่ไม่ต้องขอวีซ่าในการเข้าประเทศหลายประเทศในยุโรบ ญี่ปุ่น รวมถึงสหรัฐอเมริกา ทำให้รู้สึกว่าการขอวีช่าจีนนี้ยุ่งยากมาก ต้องมีตั๋วเครื่องบินและจองโรงแรมไว้เรียบร้อย ก่อนที่จะไปยื่นขอวีซ่า ถ้าไม่ได้วีช่าก็คงต้องเสียค่าตั๋วเครื่องบินฟรี ในช่วงนั้นเกือบถอดใจไม่ไปไปหลายครั้ง แต่พอไปรับพาสปอร์ต ปรากฏว่าคุณจีนให้วีซ่าอ้อยหวานถึงห้าปี เข้าออกกี่ครั้งก็ได้ไม่จำกัด อะไรจะขนาดนั้น!
แต่พอไปเยียบแผ่นดินจีน เธอกับริดรอนสิทธิและเสรีภาพในการใช้อินเตอร์เน็ต จีน block เว็ปไชด์มากมายหลายเว็ป รวมไปถึงเว็ปของกูเกิลทั้งหมดและเฟรสบุค เว็ปบ้านสวนพอเพียงเปิดชมได้ แต่ล็อกอินไม่ได้ ส่วน Line ใช้ได้บ้าง ใช้ไม่ได้บ้าง ที่เมืองจีนไม่มี Line แต่คนจีนเขาใช้ We chat กัน
เห็นไหม เข้ากับชื่อบล็อกไหมละ “ข้ามกำแพงเหล็ก เปิดประตูไม้ไผ่ แหวกม่านผ้าไหม”
หลังจากส่งพรรคพวกส่วนใหญ่กลับเมืองไทยแล้ว ที่เหลือก็ย้ายตัวเองไปใช้ชีวิต กินนอนในหมู่บ้านนอกเมืองซัวเถาหรือซานโถว (Shantou) หมู่บ้านที่เป็นบ้านเกิดของพ่อ เป็นเวลาตั้งสิบกว่าวัน ได้พบกับประสบการณ์ที่หาที่ไหนไม่ได้ เอามาทำหนังสิบม้วนก็ไม่จบ
หมู่บ้านบ้านเกิดของพ่อ เป็นหมู่บ้านแบบเก่า หมู่บ้านแบบนี้มีให้เห็นตลอดระหว่างที่นั่งรถออกจากเมืองซัวเถาหรือซานโถว แค่นั่งรถผ่านยังต้องร้องโอ้...อยู่ในใจ มาใช้ชีวิตสิบกว่าวัน ก็ยังต้องร้อง..โอ้ ในใจ อยู่หลายรอบ
สำหรับพ่อนั้น อ้อยหวานรู้ดีว่าพ่อรู้สึกอย่างไรกับการกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดครั้งนี้ หลังจากที่ไม่ได้กลับไปหลายปี การออกไปเดินเล่นรอบๆ หมู่บ้านกับพ่อและน้อง เหมือนกับการได้เดินย้อนเข้าไปในอดีต ..อดีตของพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ก็คืออดีตของตัวเรา
บ้านหลังนี้แหละคือบ้านเก่าของพ่อ
บ้านเก่าของพ่อปิดร้างไม่มีคนอยู่ทั้งปี แต่ปีละครั้งที่ญาติคนจีนกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด ก็จะเปิดบ้านทำความสะอาดครั้งหนึ่ง บ้านแบบนี้มีช่องรับลมรับแดดอยู่ตรงกลางบ้าน หลังหนึ่งจะอยู่กันทั้งครอบครัวใหญ่ๆ ลานตรงกลางบ้านก็เป็นครัว ที่ซักผ้าตากผ้า ที่วิ่งเล่นของเด็กๆ เป็นลานอเนกประสงค์จริงๆ สองด้านหัวท้ายของลานจะเป็นห้องรับแขก และห้องกินข้าว ที่จริงส่วนนี้จะมีประตูไม้ฉลุบานใหญ่ด้านละสี่บาน เปิดออกไปยังลานอเนกประสงค์ แต่ญาติถอดเก็บไปไว้ในห้อง แล้วเอาผ้าใบสีเหลืองมาใช้ขึงปิดแทน
ขนาบด้านข้างทั้งสองข้างจะเป็นห้องนอน บ้านหลังนี้มีหกห้องนอน แต่หลายปีมาแล้วพ่อให้เขาทำห้องน้ำใหม่ในบ้าน ก็เลยเหลือห้าห้องนอน
ผนังตกแต่งสวยงาม
ประตูห้องนอนจะเป็นสองชั้น ประตูฉลุลายสวยงามอยู่ด้านนอก ด้านในจะเป็นประตูทึบธรรมดา
นอกจากจะ..ข้ามกำแพงเหล็ก เปิดประตูไม้ไผ่ แหวกม่านผ้าไหม..แล้ว อ้อยหวานยังได้ไปมุดมุ้งแอบดูจีนอีกด้วย ได้นอนบนเตียงโบราณที่ญาติขนมาจัดไว้ให้ มีมุ้งครอบแบบเก่าที่ต้องมุดเข้าออกวันละหลายรอบ พอเห็นเตียงแว็ปแรก ก็มีคำถามผุดขึ้นมีในใจอ้อยหวานทันที ‘เจ้าของเก่าเขาจะหวงไม่เนี๋ย! ‘ ก่อนนอนคืนแรกน้องสาวเอ่ยถามว่านอนได้ไหม อ้อยหวานรีบตอบไปทันทีทันใดว่า ‘นอนได้จ้า ถ้าเปิดไฟนอน’ สิบเอ็ดคืนที่หมู่บ้าน เราเปิดไฟสว่างจ้านอนกันทุกคืน และนอนหลับสบายกันทุกคืน
การไปเมืองจีนครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่อ้อยหวานได้พบกับญาติโกโหติกามากมายที่อยู่ในแผ่นดินจีน วันต่อๆ มาก็ได้พบกับญาติอีกโขยงใหญ่ที่ทยอยกันมาพบกับพ่อเรื่อยๆ มีบางคนมาแนะนำตัว สืบสาวไล่เรียงได้ความว่า พ่อของพ่อของพ่อของพ่อของเราเป็นพี่น้องกัน หลายรุ่นเลยนะเนี๋ย
ตลาดในหมู่บ้าน เสียดายที่ไม่สามารถส่งเสียงทางภาพนี้ได้ เพราะเสียงดังสุดๆ คนจีนชอบบีบแตรรถมากๆ บางคนจะบีบไปตลอดทางไม่ปล่อยเลย
บรรยากาศในหมู่บ้าน มีจักรยานให้เห็นไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะใช้มอเตอร์ไซด์กัน ยี่สิบกว่าปีก่อนอ้อยหวานกะคุณผู้ชายเคยมาแบกเป้เที่ยวในจีน ในตอนนั้นยานพาหนะที่ใช้กันส่วนใหญ่ 90% เป็นจักรยาน แต่เดี๋ยวนี้คนใช้จักรยานถึงหนึ่ง % หรือเปล่าก็ไม่รู้
วันหนึ่งญาติขอยืมจักรยานมาให้สองคัน อ้อยหวานกับน้องสาวเลยได้ออกไปปั่นซอกแซกชมหมู่บ้าน บ้านแต่ละหลังดูทรุดโทรมมาก ส่วนใหญ่ดูเหมือนไม่มีคนอยู่อาศัย เพราะย้ายไปอยู่บนตึกหรือในเมืองกันหมด
ดูหลังนี้สิ ใช้เป็นฉากสร้างหนังได้เลย
อีกมุมหนึ่งของหมู่บ้าน อากาศตอนนี้ค่อนข้างเย็น พืชผักคงชอบกัน ดูเขียวสดจริงๆ
ซอกเล็กซอยน้อย
อันนี้ไม่ใช่ขายหวยนะ แต่เป็นโฆษณาอะไรสักอย่าง ใครอ่านออก ช่วยบอกที
ทุกเช้าอ้อยหวานจะปั่นจักรยานออกไปคนเดียว ไปทางด้านหลังของหมู่บ้าน ผ่านสวนผัก บางช่วงจะเป็นสวนสตอร์เบอรี่ และนาข้าวที่ยังว่างอยู่เพราะช่วงนี้ยังอยู่ในช่วงฤดูหนาว มุ่งหน้าสู่ภูเขาที่เห็นอยู่ด้านหลัง แล้วได้ไปเจอะเจออะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง
ทั้งเข็นทั้งปั่นขึ้นเขา อ้อยหวานขึ้นมาบนนี้ทุกเช้า อากาศจะดีกว่าในหมู่บ้าน แถมเงียบสงบ ไม่มีเสียงแตรรถ
ข้างบนจะมีวัดพุทธ
ซึ่งมีพระพุทธรูปที่สวยงามมาก
และมีเขื่อน ที่อ้อยหวานหาทางขึ้นไปบนเขื่อนอยู่หลายวัน ปั่นขึ้นเขา ลงเขา เข้าซอกโน้น ออกซอกนี้ วนเวียนหาทางขึ้นเขื่อน จนคุณผู้ชายหวั่นว่าจะถูกจับเข้าคุกข้อหาเป็นสายลับ! จนวันสุดท้ายไปถามลุงคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าเขื่อน ถามภาษาใบ้โดยชี้ที่จักรยานแล้วชี้ไปที่เขื่อน ได้คำตอบมาว่า เม่ยโหย่ แปลว่า ขึ้นไม่ได้! ที่นี้ก็จบข่าวเลย
มันเป็นการผจญภัยเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้เด็กแก่คนนี้เพลิดเพลินตลอดเวลาสิบกว่าวัน
โปรดติดตามอ้อยหวานเล่าเรื่องการฉลองตรุษจีนสิบห้าวันสิบห้าคืน ในตอนต่อไป
อ่านแอบดูจีนตอนที่แล้วได้ที่นี่
ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข
ขอบคุณค่ะ
อ้อยหวาน