สำหรับอ้อยหวานในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมา นอกจากจะเดินทางผ่านห้วงเวลาแล้ว อ้อยหวานยังเดินทางผ่านผืนดิน ผืนน้ำ และเหนือเมฆ ขึ้นรถ (รถยนต์, รถไฟ, รถถีบ) ลงเรือ (บิน) จนสมกับคำว่า ชีพจรลงเท้า
บล็อกนี้ขอเล่าเรื่องการเดินทางผ่านห้วงเวลาก่อน ที่จริงแล้วไม่ค่อยอยากเล่าเรื่องส่วนตัวในบล็อก แต่เรื่องนี้อยากเล่าจะได้เป็นข้อคิดให้ผู้อื่นบ้าง เพราะการเดินทางผ่านห้วงเวลาของมนุษย์ ทางที่ต้องเดินไปเราไม่รู้ว่าจะต้องเจอะเจออะไรบ้าง แยกหน้าหรือโค้งหน้าจะมีอะไรดักรอเราอยู่
อย่างอ้อยหวานก็เดินทางผ่านห้วงเวลาเช่นทุกวัน จนเย็นวันหนึ่งคุณผู้ชายที่บ้านกลับจากทำงานเหมือนทุกเย็น ต่างกันตรงที่ว่านอกจะเหนื่อยและหิวแล้ว คุณผู้ชายยังมีข่าวมาบอกด้วย จู่ๆ เจ้านายใหญ่เรียกทุกคนในที่ทำงานเข้าห้องประชุมด่วน และแจ้งข่าวด่วนว่าออฟฟิศจะปิดแล้วย้ายไปเมืองโตรอนโตภายในสามอาทิตย์ คือก่อนสิ้นปีที่แล้ว ทุกคนมีข้อเลือกอยู่สองข้อคือย้ายไปโตรอนโตหรือรับเงินชดเชย คุณผู้ชายเลือกข้อหลัง อีกสามอาทิตย์บ้านที่เคยอยู่คนเดียวเงียบๆ บ้านที่เคยเป็นของเราคนเดียว (ในตอนกลางวัน) จะต้องแบ่งปันแล้ว
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น อ้อยหวานกำลังดูแลลูกหมาลักกี้ ที่จริงลักกี้ไม่ใช่ลูกหมา แต่เป็นหมาที่เลี้ยงเหมือนลูก ลักกี้อายุ 17 ปี เป็นหมาแก่ (ใกล้ตาย) ใครที่เคยดูแลหมาแก่ (ใกล้ตาย) จะรู้ว่าเป็นเช่นไร ไม่ใช่อยู่ๆ ก็หยุดหายใจและตายไปเฉย มันทุรนทุรายมาก ลุกขึ้นยืนไม่ได้ แล้วหมาก็ทำอะไรๆ เกือบทุกอย่างในท่ายืน ยืนถ่าย ยืนฉี่ ยืนกิน ลักกี้จะทุรนทุรายและร้องทุกครั้งที่พยายามยืน แม่ต้องช่วยให้ลุกยืน คอยป้อนข้าวป้อนน้ำ เช็ดอึเช็ดฉี่
ความตาย การพลัดพลากเป็นธรรมดาโลก และที่เป็นธรรมดาโลกอีกอย่างสำหรับปุถุชนธรรมดาๆ คือความเสียใจ แต่..มีเรื่องที่ไม่ธรรมดามาเกี่ยวข้องกับการตายของลักกี้ ที่ทำให้แม่อ้อยหวานเครียดมากคือ ที่แคนนาดาเขาจะพาหมาแก่หรือหมาใกล้ตายไปให้หมอฉีดยา เขาถือว่าเป็นสิ่งที่สมควรทำ เป็นการช่วยให้หมาไม่ต้องทรมาร อ้อยหวานพูดคุยกับคนเลี้ยงหมาและรักหมาของตัวมากๆ หลายรายว่า เธอทำเช่นนั้นหรือ?? เธอทำได้อย่างไร?? ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า It’s hard but it’s the right thing to do. โดยเฉพาะบุคคลหนึ่งที่อ้อยหวานคุยด้วย เธอเป็นคนรักสัตว์ เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวไว้เต็มบ้าน เธอเป็นสัตวแพทย์ และเธอก็เป็นน้องสะใภ้ของอ้อยหวาน เธอยืนยันว่า It’s the right thing to do. เธอฉีดยาให้หมาใกล้ตายของเธอด้วยตัวเองทุกตัว
ในห้วงเวลานั้นอ้อยหวานคิดหนัก เพราะทำเช่นนั้นไม่ใช่วิถีพุทธ คุณผู้ชายบอกว่าตนพาลักกี้ไปส่งโรงหมอได้ถ้าอ้อยหวานเซย์เยส น้องเบลลูกสาวพูดทั้งน้ำตาว่าเพื่อนๆของลูกต่างก็พากันบอกให้พาลักกี้ไปหาหมอ ลักกี้จะได้ไม่ต้องทรมาน ส่วนแม่อ้อยหวานก็คิดแต่ว่า ลักกี้เกิดเป็นหมาเพราะมีกรรมต้องชดใช้ ถ้าไปหาหมอเดี๋ยวจะใช้กรรมไม่หมด ต้องเกิดเป็นหมาอีก อีกอย่างหนึ่งถ้าแม่เซย์เยส ก็เหมือนกับทำกรรมอีก
ช่วงนั้นแม่ป้อนข้าวป้อนน้ำลักกี้ไป สวดมนต์ไป น้ำตาก็ไหลพรากๆ พอลักกี้ร้องทั้งแม่อ้อยหวานและน้องเบลต้องวิ่งไปดู ช่วยยกตัวให้เขายืน น้องเบลก็คอยลูบตัวลูบขาให้ แล้วเรื่องพาลักกี้ไปหาหมอก็ผุดขึ้นมา ทางแยกสองทางนี้เราจะไปทางไหนดี ทางไหนเป็นสิ่งที่สมควรทำ? ถ้าลักกี้เลือกเองได้ ..ก็คงจะดี
แล้ววันหนึ่งอ้อยหวานนั่งฟังเพลงในคอม มีลักกี้นอนอยู่ใกล้ๆ ฟังไปครึ่งเพลง จู่ๆ เสียงเพลงผิดเพี้ยนไปเหมือนเทปเพลงยืด เสียงย้วยยืดเลย ก็เลยบอกคุณผู้ชายซึ่งงานยุ่งมากๆ เพราะต้องปิดเก็บงานก่อนออฟฟิศย้าย ว่าลำโพงมันเสีย คุณเธอจัดการติดตั้งลำโพงอันใหม่แล้วก็ไปต่างจังหวัด แต่อันใหม่เสียงก็ไม่ดีขึ้น คุณผู้ชายกลับมาลองฟังแล้วต้องหันมามองหน้าอ้อยหวาน เธอแน่ใจว่าปัญหาไม่ใช่อยู่ที่ลำโพง แต่เป็นที่หูของอ้อยหวาน แล้วใช่จริงๆ ด้วย ในระยะเวลาอาทิตย์กว่าๆ ต่อมา ประสิทธิภาพในการได้ยินของอ้อยหวานลดลงอย่างฮวบฮาบ ได้ยินไม่ชัดถึงขนาดจับใจความคำพูดที่ได้ยินไม่ได้ เพราะเสียงเพี้ยนไปหมดแม้แต่เสียงของตัวเอง
แต่เสียงลักกี้ร้องกลับได้ยินแจ่มชัด มันทำให้อ้อยหวานคิดวนเวียนวันละหลายหนว่าตัดสินใจเลือกทาง (ให้ลักกี้) ถูกทางหรือไม่ แม้แต่ขณะนี้ลักกี้ก็ตายไปสามเดือนแล้ว แม่อ้อยหวานของลักกี้ก็ยังคิดไม่ตก
หลังจากรอร้านหมอหูเปิดหลังปีใหม่ อ้อยหวานก็รู้ว่าตัวเองเป็นโรคประสาทหูเสื่อม ต้องใส่เครื่องช่วยฟัง แต่มันไม่ใช่ง่ายๆ เหมือนเปิดปุบติดปับ ต้องพยายามทำตัว (หู) ให้ชินกับเครื่องช่วยฟัง และสมองก็ต้องปรับตัว และแม้แต่ใส่เครื่องช่วยฟังมันก็ช่วยได้แค่ 50 % เท่านั้น
ที่จริงแล้วเรื่องนี้ต้องโทษตัวเองที่ไม่เชื่อฟังหมอ เพราะหูข้างซ้ายเสื่อมได้ยินแค่ 30% มา 4-5 ปีแล้ว แต่ยังดื้อคิดว่าฟังข้างเดียวก็ได้ (วะ) ต้นปีที่แล้วเริ่มมีเสียงกริ่งในหูข้างที่เคยได้ยินดี คุณหมอที่หากันมาเกือบ 20 ปี บอกให้ใส่เครื่องช่วยฟัง เพราะจะช่วยกระตุ้นการได้ยิน และจะได้ปรับตัวชินกับเครื่องช่วยฟัง แต่อ้อยหวานก็ไม่เคยฟังหมอ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
อย่าเป็นเด็กดื้ออย่างอ้อยหวานนะ อย่าประมาทนะ จงเชื่อฟังหมอและดูแลรักษาตัวอย่างเคร่งครัด
ยารักษาใจ..
นอกจากจะดูแลรักษาตัว (หู) แล้ว ยารักษาใจหรือยาสมานใจก็สำคัญ อ้อยหวานมีคนข้างตัวข้างใจอย่างคุณผู้ชาย ที่แสนดีและเข้าใจ มีพ่อแม่ที่คอยยื่นมือมาประคับประคอง ตอนนี้กำลังทานยาจีนที่พ่อขวนขวายหาให้ ส่วนคนที่เข้าใจอ้อยหวานดีที่สุดคือแม่ แม่มีปัญหาเรื่องการได้ยินมาช้านาน น้าๆ น้องของแม่มีปัญหาเรื่องหูกันทุกคน เวลาที่แม่จะพูดกับอ้อยหวาน แทนที่จะตะโกนดังใส่เหมือนคนอื่น (ซึ่งทำให้อ้อยหวานฟังไม่รู้เรื่องไปกันใหญ่) แม่จะแตะไหล่ก่อน แล้วค่อยๆ พูด แม่คือแม่พระของลูกจริงๆ น้องๆ ของอ้อยหวานเป็นยาสมานใจอีกขนาน ทั้งคนที่เป็นหมอและคนที่ไม่เป็นหมอแต่เป็นคนขับรถพาไปหาหมอ น้องคนอื่นๆ ก็เป็นกองเชียร์
ยารักษาใจอีกขนานหนึ่งคือเพื่อนๆ อ้อยหวานอยู่ต่างแดน ไม่ค่อยคบหาใคร กลับไปเมืองไทยแต่ละครั้งก็ไม่ค่อยได้ติดต่อเพื่อนๆ แต่ครั้งนี้โชคชะตาทำให้ได้พบเจอเพื่อนๆ ทั้งเพื่อนเก่าสมัยเรียนนิเทศ และเพื่อนบ้านสวนที่รู้จักคุ้นเคย แต่ไม่เคยพบหน้ากัน เพื่อนๆ น้องๆ ทุกคนต่างสละเวลามาให้อ้อยหวาน ขอบอกว่าเธอทุกคนคือยารักษาใจให้อ้อยหวาน แม้หูจะได้ยินแย่เหมือนเดิม แต่ (กำลัง) ใจดีขึ้นเหมือนกินยาโด๊ป ขอบคุณ ขอบคุณทุกๆ คน
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
ยารักษาใจหรือยาสมานใจนี้สำคัญพอกับยาทานหรือยาทา อย่าลืมยาขนานนี้
โปรดติดตามอ้อยหวานเล่าเรื่องการเดินทาง ขึ้นรถ ลงเรือ ขึ้นเหนือ ล่องใต้ ในตอนต่อไป
ขอให้เพื่อนๆมีแต่ความสุข
ขอบคุณค่ะ
อ้อยหวาน