ชีวิตคือการเดินทาง
และ ความรัก คือสิ่งที่ทำให้การเดินทางนั้นมีค่าที่สุด
life's a journey and love is what makes that journey worthwhile
ตามแผนเดิมที่เราวางไว้จากเมืองซาลซ์บูร์ก เมืองเดอะซาวน์ออฟมิวสิคเราจะปั่นเลียบแม่น้ำไปทางทางทิศตะวันออก จนไปจรดที่แม่น้ำดานูบ (Danube River) เป็นแม่น้ำที่ยาวเป็นอันดับสองของทวีปยุโรป แต่ก็ต้องเปลี่ยนแผน หันทิศทางการเดินของเราไปทางตรงกันข้าม เนื่องจากฝนที่ตกเกือบทุกวัน ทำให้น้ำป่าจากเทือกเขาแอลป์ไหลบ่าและท่วมพื้นที่และเมืองที่อยู่ห่างจากเมืองซาลซ์บูร์กไปเพียงหกสิบกิโลเมตรอย่างฉบับพลัน สร้างความเสียหายมากมาย
เมื่อน้องน้ำนัดเจอกันครั้งใหญ่เยี่ยงนี้ สองนักปั่นเที่ยวขอหลีกทางให้ หลังจากดูข่าวแล้ว คนที่ไปด้วยก็หันมาถามอ้อยหวานว่า ‘ทีนี้เราจะไปไหนกันดี’ อ้อยหวานตอบไปอย่างทันควันว่า ‘ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าเจ้ารู้จักเส้นทางทุกสายในยุโรบ’ (ว่าไปนั่น) เนื่องด้วยเป็นคนที่ชอบอ่านบันทึกของนักปั่นทั้งหลาย แล้วฝันเฟื่องไปเรื่อยๆ ส่งเจ้าตัวน้อยของแผนที่กูเกิ้ลลงไปดูเส้นทางออกบ่อยๆ ทำให้รู้ดี (ทั้งๆ ที่ไม่เคยไปเยียบแถวนั้นเลย) อีกทั้งแถวนี้ (เยอรมันและออสเตรีย) ก็มีเส้นทางจักรยานออกตรึม เยอะแยะ ตัดกัน ขนานกัน พันกันนัวเนียเป็นใยแมงมุม ยิ่งกว่าทางหลวงเสียอีก
ใช้เวลาเพียงสิบนาทีแผนการเดินทางเส้นใหม่ก็ถือกำเนิด ...ไปเราไป ไปเติมความหวานบนเส้นทางสายโรแมนติกกันดีกว่า
เส้นทางสายโรแมนติก (the Romantic Road Cycle route) แค่ฟังชื่อก็ตื่นเต้นแล้วใช่ไหม? เส้นทางที่มีความยาว 440 กิโลเมตรสายนี้ วิ่งจากเหนือสู่ใต้ เริ่มต้นจากตอนกลางของประเทศเยอรมัน ไม่ไกลจากเมืองแฟรงก์เฟิร์ต ( Frankfurt) สู่เทือกเขาแอลป์ที่อยู่ทางใต้ของประเทศ ผ่านพื้นที่ที่มีทิวทัศน์สวยเลิศล้ำ เป็นที่ประชุมกันของธรรมชาติ ป่าเขา ลำเนาไพร สายน้ำ ไปจนถึงเมืองเก่าแก่และหมู่บ้านสุดสวยที่แสนจะโรแมนติก และที่โรแมนติคสุดๆ ชนิดที่โด่งดังไปทั่วโลกก็คือ เมืองฟุสเซ่น (Fussen) ที่เป็นเมืองจุดปลายทางของเส้นทางสายโรแมนติก และเป็นที่ตั้งของปราสาทนอยชวานชไตน์ (Neuschwanstein) ปราสาทสุดโรแมนติคที่ไม่มีปราสาทไหนจะเทียมทานได้ ชื่อดังอย่างนี้ไม่ไปไม่ได้แล้ว
เราสองคนไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้าสำหรับการผิดแผนนี้ คุณผู้ชายจึงต้องดาวน์โหลดแผนที่การนำทางด้วย GPS ใหม่ไว้ในมือถือ และลบของเก่าออกหมด ระหว่างนั้นอ้อยหวานก็ต้องหาวิธีที่จะไปถึงเส้นทางสายที่มีชื่อสุดโรแมนติคสายนั้น สรุปแล้ว เราต้องเข็นจักรยานขึ้นรถไฟกลับไปที่จุดเริ่มต้นของเรา คือเมืองมิวนิค แล้วปั่นออกจากมิวนิคไปในเส้นทางตรงกันข้าม เพื่อไปเริ่มปั่นตรงช่วงกลางของเส้นทาง และนั่นหมายความว่าเราเข้าหาเทือกเขาแอลป์กันอีกแล้ว! เพิ่งจะหลุดออกมาอยู่หยกๆ คราวนี้เลยได้สัมผัสไออุ่นของเทือกเขาแอลป์กันจนจุใจไปเลย
โดยส่วนตัวของอ้อยหวาน...ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางไหนเพียงแค่โรยด้วยกลีบดอกไม้ ก็สุดแสนจะโรแมนติกแล้ว
จากสถานีรถไฟมิวนิคเรามุ่งหน้าปั่นออกไปทางทิศตะวันตก ใช้เวลาปั่นสองวัน ไปยังเมืองที่อยู่กึ่งกลางของเส้นทางสายโรแมนติก ระหว่างทางเราปั่นผ่านทุ่งข้าวสาลี
สีเหลืองหรือเขียวสดใส ทุ่งแล้วทุ่งเล่า เยอรมันเป็นประเทศที่ผลิตข้าวสาลีมากเป็นอันดับเจ็ดของโลก อ้อยหวานไม่รู้ว่าข้าวสาลีแถบนี้มีจุดหมายปลายทางในถังเบียร์กันมากน้อยแค่ไหน เพราะแถบนี้มีโรงกลั่นเบียร์อยู่มากมาย
พูดถึงเบียร์แล้ว ก็ต้องฝอยนอกเรื่องกันนิดนึง ไหนๆ ก็มาเยือนถิ่นเจ้าแห่งเบียร์
เบียร์เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่บริโภคกันอย่างแพร่หลายที่สุดในโลก และเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เก่าแก่ที่สุดของโลกอีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องดื่มที่นิยมกันมากเป็นอันดับสามของโลก รองจากน้ำเปล่าและน้ำชา ประวัติของเบียร์นั้นสามารถนับย้อนหลังไป 4000 ปี ก่อนคริสตกาล และเป็นที่รู้จักกันดีของผู้คนในสมัยอียิปต์โบราณและเมโสโปเตเมีย
กรรมวิธีผลิตเบียร์เรียกว่า Brewing คำนี้ในภาษาอังกฤษจะใช้กับเบียร์เท่านั้น ไม่ใช้กับการหมักทำเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ ส่วนในภาษาไทยอ้อยหวานไม่แน่ใจว่าใช้คำไหน ส่วนผสมในการผลิตเบียร์หลักๆ ก็มี ธัญพืช ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ข้าวบาเลย์ ข้าวสาลี ข้าวโพด และข้าว แต่ธัญพืชเหล่านั้นต้องผ่านกรรมวิธี มอลต์ (malt) ซึ่งมีวิธีการดังนี้ นำเมล็ดธัญพืชมาตากแห้งในพื้นที่ร่มประมาณหกอาทิตย์ เพื่อให้เมล็ดคลายการพักตัว จากนั้นก็นำมาแช่น้ำไว้ 2-3 วัน เพื่อให้เมล็ดงอกรากและใบอ่อน แล้วนำเมล็ดข้าวเหล่านั้นไปอบแห้งอย่างช้าๆ ข้าวที่อบเสร็จแล้ว เรียกว่า ข้าวมอลต์
นอกจากข้าวมอลต์แล้ว ส่วนผสมที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ดอกฮ็อฟ (Hops) ที่มีคุณสมบัติเป็นสารกันบูดธรรมชาติ และให้รสขมในเบียร์ ส่วนผสมอย่างอื่นก็ตามแต่สูตรใครสูตรมัน บ้างใส่สมุนไพร หรือบางแห่งจะเติมผลไม้ลงไปด้วย
ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย
อ้อยหวานเป็นคนที่ไม่ชอบดื่มเบียร์ เพราะมันขม ดื่มไม่ลง แต่พอมาถึงเยอรมัน ประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็นราชาแห่งเบียร์ ก็เริ่มเหล่ตามาดูเบียร์ เพราะมันถูกกว่าน้ำดื่มธรรมดาๆ เสียอีก แล้วที่นี่ก็มีเบียร์ร้อยแปดพันเก้าชนิด มีตั้งเบียร์ขาว ดำ แดง เบียร์แรง เบียร์นุ่ม และมีเบียร์สำหรับนักปั่น คือเบียร์อ่อนๆ ดื่มแล้วยังปั่นไหว ไม่พุ่งตกทาง และเบียร์ที่อ้อยหวานชอบคือเบียร์ผสมน้ำมะนาว รสชาติแปลกๆ ที่เข้ากันมาก
นอกจากจะเป็นราชาแห่งเบียร์แล้ว อ้อยหวานยังยกตำแหน่งราชาแห่งโลกสีเขียวให้แก่ประเทศเยอรมันอีกด้วย หลังคาบ้านของที่นี่จะมีแผงโซล่าเซลล์ หรือแผงพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งกันเป็นว่าเล่น
เยอรมันมีการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์เป็นอันดับสองของโลกรองจากประเทศจีน แต่คิดดูสิว่าเยอรมันมีขนาดพื้นที่และประชากรน้อยกว่าจีนมากมาย ดังนั้นอ้อยหวานจึงยกตำแหน่งราชาแห่งโลกสีเขียวให้แก่เยอรมัน อย่างไม่ลังเลใจ
และนอกจากการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์กันมากมายบนหลังคาบ้านและอาคารต่างๆ แล้ว เรายังพบกับกังหันลมผลิตไฟฟ้าอีกมากมายตลอดเส้นทาง สำหรับนักปั่นแล้ว เมื่อเจอกับกังหันลมผลิตไฟฟ้าก็แน่ใจได้เลยว่า จะต้องเจอกับลมปะทะหน้าหรือลมหนุนหลัง ในกรณีของเราสองคนคือข้อแรก! อ้อยหวานยังพูดกับคู่ปั่นว่าทำไมเราเจอกับลมปะทะหน้าตลอด ไม่เคยเจอลมหนุนหลังเลยสักครั้ง
ในเมืองใหญ่ๆ ก็มีการใช้รถรางพลังไฟฟ้า สะอาดปลอดสารพิษ และกลิ่นควัน แต่ขอบอกว่าผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่เขาปั่นจักรยานไปไหนมาไหนกัน มีแต่คนต่างถิ่นเท่านั้นหรอกที่ขึ้นรถประจำทาง และที่อ้อยหวานชอบใจมากๆ ก็คือ แม้แต่ในฤดูหนาว ผู้คนที่นี่เขาก็ยังปั่นจักรยานกัน
เราใช้เวลาปั่นสองวันก็มาถึงเมืองกึ่งกลางของเส้นทางสายโรแมนติก เมือง ‘เอาก์สบูร์ก’ (Augsburg) การออกเสียงแบบเยอรมันนั้น ออกเสียงแตกต่างจากภาษาอังกฤษมาก ต้องเอามือบีบจมูกแล้วพูด เอาก์สบูร์ก เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสาม และเก่าแก่เป็นอันดับสองของประเทศเยอรมัน ตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำ Lech แม่น้ำที่ไหลมาจากเทือกเขาแอลป์ ลงสู่แม่น้ำดานูบ (Danube River)
แต่เราสองคนไม่ได้ชมเมืองกันมาก เพราะเอาก์สบูร์กมีสวนสวยที่ดึงดูดใจมากกว่าการชมเมือง
สวนพฤกษศาสตร์เอาก์สบูร์ก (The Augsburg Botanical Gardens) เป็นสวนที่มีเนื้อที่กว้างขวางมาก และไม่ค่อยมีคนมากนักคงเป็นเพราะตั้งอยู่นอกเมือง สวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้สะสมพรรณไม้กว่า 3100 ชนิด เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของคนรักต้นไม้ดอกไม้เลยทีเดียว และสวนก็มีชื่อเสียงจากสวนญี่ปุ่น และสวนกุหลาบ
ในสวนญี่ปุ่น กำลังมีคลาสสอนวาดรูปสีน้ำ นักเรียนแต่ละคนวาดรูปกันสวยมาก
การนั่งวาดรูปในสวนสวยนี้ ช่างเป็นการพักผ่อนกายและใจที่ดีเยี่ยมจริงๆ
อ้อยหวานขอคัดลอกบทความของตัวเอง ที่เขียนสาธยายสวนญี่ปุ่นในเว็ปjapantravel.comมาให้อ่านกันสั้นๆ หากต้องการอ่านแบบเต็มๆ พร้อมชมภาพสวนญี่ปุ่นแท้และดั้งเดิม ก็แวะไปชมได้ที่นี่ เรียนรู้องค์ประกอบของสวนญี่ปุ่น จากสวนคิโยะสุมิ กลางกรุงโตเกียว
องค์ประกอบที่สำคัญๆ ของสวนญี่ปุ่น
สวนญี่ปุ่นจะต้องมีน้ำ ไม่ว่าจะเป็นแค่น้ำในอ่างหินเล็กๆ หรือสระน้ำกว้างใหญ่ เมื่อสวนญี่ปุ่นต้องมีน้ำ
ในน้ำก็ต้องมีก้อนหิน มีสะพาน และแน่นอนต้องมีปลา
องค์ประกอบสำคัญของสวนญี่ปุ่นอีกสิ่งหนึ่ง โคมไฟหิน ถ้าไม่มีโคมไฟหิน ก็ไม่ใช่สวนญี่ปุ่น
และเรือนน้ำชา (tea house) หรืออาคารในสวน
ส่วนต้นไม้ในสวนที่ขาดไม่ได้คือ ต้นอะเซลเลีย ต้นโมะมิจิ (momiji) หรือเมเปิลญี่ปุ่น และต้นสนญี่ปุ่น
ส่วนสวนกุหลาบของสวนพฤกษศาสตร์เอาก์สบูร์กนั้น ก็สามารถทำให้หัวใจละลายได้เช่นกัน ในสวนเป็นแหล่งรวมของกุหลาบกว่า 280 สายพันธ์ และมีกันกว่าพันต้น
ใจละลาย
กุหลาบเลื้อยกอนี้ทั้งสูงใหญ่ และออกดอกกันอย่างอลังการ
กอที่อยู่ติดกันก็งามบริสุทธิ์
อ้อยหวานนั้นบินถลายังกับผีเสื้อถือกล้อง โฉบไปโน่นที นี่ที เก็บดอกไม้มาเต็มกล้อง เป็นร้อยๆ รูป
ไม่ใจละลาย ก็ให้มันรู้ไป
และไม่ใช่แต่ดอกกุหลาบเท่านั้น ที่ทำให้ใจละลาย สวนพฤกษศาสตร์เอาก์สบูร์ก ยังเก็บสะสมไม้ดอกหลากหลายชนิด อย่างเช่น สีส้มสุดสวยของดอกพริมโรสที่เข้ากันดีมากกับดอกไอริสสีม่วง
ที่นี่เขาจัดสวนกันอย่างพิถีพิถันไปทั่วทุกจุด
ดอกเดลฟีนเนียม (Delphinium) สีน้ำเงินแต้มขาว เป็นไม้ดอกที่ใช้ดึงดูดผีเสื้อและนกฮัมมิ่งเบิร์ด
ดอกเมาท์เทิล ลอเรล (mountain-laurel) หรือลอเรลภูเขา มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Kalmia latifolia อ้อยหวานเคยเอามาให้ชมแล้ว ดูได้ที่บล็อกนี้ให้ดอกไม้ปลอบใจเห็นดอกสวยจับใจอย่างนี้ อย่าเผลอไปดมก็แล้วกัน เจอครั้งแรกที่ญี่ปุ่น อ้อยหวานถลาไปดมเสียงเต็มปอด เพราะนึกว่าจะหอมมากเหมือนรูปสวย หมึนไปเลยละ
เจอเรเนียม สีม่วงเข้ม
ม่วงกับเหลืองตัดกันอย่างเฉียบขาด
โทนชมพูหวานแหววก็ไม่น้อยหน้า
ไม่ไปไหนแล้ว….. ฉันขออยู่ที่นี่
โปรดติดตาม ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ในตอนต่อไป
อ่าน ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอนที่แล้วได้ที่นี่
ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์
ตามหาโรมิโอและจูเลียต ที่..เวโรน่า
ท่ามกลางสายฝนสู่เมืองเดอะซาวน์ออฟมิวสิค
ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข
ขอบคุณค่ะ
อ้อยหวาน