ในความเหมือนมีความแตกต่าง และในความแตกต่างกลับมีความกลมกลืน..
ยอดเขาสูงลดลั่น บางยอดแหลม บ้างโค้งมน บางแห่งเป็นเนินเขียว บางแห่งเป็นป่าใหญ่ หรือสวนผลไม้ บางแห่งกลับเป็นผาหินสีน้ำตาล หรือสีเทาหม่น ไร้ความเขียวแม้แต่ตระไคร่น้ำก็ไม่มีให้เห็น
ยอดเขาแต่ละยอดต่างยืนสูง ทมึน องอาจ ที่ทำให้มนุษย์ตัวน้อยที่ยืนมองอยู่ข้างล่าง เต็มไปด้วยความรู้สึกที่แตกต่างหลากหลาย บางครั้งรู้สึกหวาดหวั่น บางครั้งก็ทะเยอทยาน ใฝ่ฝันที่จะไปหยอกล้อกับก้อนเมฆ แต่ความรู้สึกที่เหมือนกันก็คือ
ภูเขาเหล่านั้น ...ช่างงดงามเสียจริงๆ
ถ้ามีคนถามอ้อยหวานว่า เธออยากทำอะไร หากไร้ซึ่งความกลัว?
คำตอบก็คือ ปั่นจักรยานขึ้นเขา
ในตอนที่เริ่มปั่นจักรยานเที่ยวใหม่ๆ อ้อยหวานจำได้ว่าพอเห็นสะพานก็รู้สึกกลัวแล้ว ขาทั้งสองจะเริ่มสั่นในทันทีทันใด ต้องลงเข็นจักรยานขึ้นสะพานอยู่หลายรอบ จนวันหนึ่ง..ปั่นมาถึงเชิงสะพาน จู่ๆ เจ้าตัวทะเยอทยานวิ่งจิ๊ดขึ้นมาเป็นผู้สั่งการ ให้สองขาซอยเท้าปั่นถี่ๆ ส่วนเจ้าความกลัวกลับไปเป็นคนกลั้นหายใจดู ไปถึงบนสะพาน ความทะเยอทยานและความกลัวกลับหลอมรวมกันเป็นความภาคภูมิใจ โอ้บนสะพานมีวิวสวยนะ.. หลังจากนั้นอ้อยหวานก็ค่อยๆ เริ่มมองหาความสูงที่สูงกว่า แม้นบางครั้งจะปั่นขึ้นไม่ได้ แต่ก็เข็นขึ้นได้ ความภาคภูมิใจในการเข็นขึ้นเขานั้น เท่าเทียมกับการปั่นขึ้นเขาไม่ขาดไม่เกิน เพราะต้องมายืนหอบชมวิวเหมือนกัน และหลังจากหยุดหอบแล้ว ก็ได้ยืดอกบอกตัวเองว่า ฉันทำได้
ในการปั่นเที่ยวเทือกเขาแอลป์ทริปนี้ อ้อยหวานยังได้ ‘นิ้วโป้ง’ อยู่หลายเที่ยวเชียวละ (ไม่ได้คุยนะ จะบอกให้) เพราะแถวนี้เขาไม่เคยเห็นใครเอาจักรยานพับได้ที่มีล้อเล็กๆ แถมแบกกระเป๋าหนักๆ ทั้งสองข้าง มาขึ้นเขาลงเขาอย่างไม่กลัวความสูง และอ้อยหวานก็แน่ใจว่า นิ้วที่ยกให้หลายครั้งนั้น เขายกให้กับความอึด ไม่ใช่ปั่นเก่งหรอกนะ!
จากเมืองมรดกโลก ‘เวโรน่า’ เราเข็นจักรยานขึ้นรถไฟกันอีกครั้ง รถไฟ วิ่งซอกแซกไปในหุบเขา บนเขา และทะลุเขา เข้าๆ ออกๆ อุโมงค์เป็นว่าเล่น ใช้เวลาเพียงสี่ชั่วโมง เราก็กลับเข้ามาสู่อ้อมกอดของเทือกเขาแอลป์อีกครั้ง เมื่อลงรถไฟที่เมืองอินส์บรุค (Innsbruck) ออสเตรีย น้องฝนก็มาต้องรับอย่างเคย เมืองทั้งเมืองปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก
คำว่า อินส์บรุค (Innsbruck) มาจากคำว่า อินน์ (Inn) ซึ่งเป็นชื่อแม่น้ำที่ไหลผ่านเมือง รวมกับ บรุค (bruck) ที่มาจากคำว่า Brückeซึ่งเป็นคำในภาษาเยอรมันหมายถึง สะพาน ดังนั้นชื่อเมืองจึงมีความหมายว่า สะพานข้ามแม่น้ำอินน์
ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย
**หมายเหตุ ประเทศออสเตรียเป็นประเทศที่ใช้ภาษาเยอรมัน
อินส์บรุค เป็นเมืองท่องเที่ยวอีกเมืองหนึ่ง เราไม่ได้ชมเมืองกันมากนัก เพราะฝนตก แถมคนเยอะอีกต่างหาก เช้าวันรุ่งขึ้นเราเร่งรีบเก็บของใส่จักรยาน แล้วมุ่งหน้าออกจากเมือง
รู้สึกไหม? บ่อยครั้งที่เราอยู่ในเมืองท่ามกลางผู้คน ความวุ่นวาย จอแจของเมือง มันทำให้เรารู้สึกเหนื่อยล้า ต้องออกไปสู่อ้อมกอดของธรรมชาติ ไปชาร์ทแบ็ต ไปดื่มด่ำกับความบริสุทธิ์รอบตัว เราปั่นจักรยานไปบนเส้นทางจักรยานแม่น้ำอินน์ หันหลังให้กับเมือง
เส้นทางจักรยานแม่น้ำอินน์นี้จะขึ้นๆ ลงๆ บนเนินเขา เลาะเลียบแม่น้ำอินท์ ทัศนียภาพในหุบเขาแม่น้ำอินท์นี้ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับทางฝั่งอิตาลีที่เราพึ่งผ่านมา ที่นี่ไม่มีสวนแอปเปิลหรือไร่องุ่น แต่กลับเป็นเนินหญ้าสำหรับเก็บเกี่ยวไปเป็นอาหารสัตว์ หรือสวนผักต่างๆ คงจะเป็นเพราะทางฝั่งนี้อากาศจะหนาวกว่าทางฝั่งอิตาลีมาก
ทุ่งมัสตาร์ดเหลืองอร่ามกับวิวภูเขางามๆ
ผ่านเมืองริมน้ำสุดสวยก็ต้องออกจากเส้นทางกันนิดนึง
เดินชมเมืองกันไม่นาน เพราะเป็นเมืองที่เล็กมาก แต่ก็สวยคุ้มค่ากับการหยุดแวะชม
เส้นทางผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่ แล้วเราก็เริ่มเห็นบ้านหลังสวยๆ ตามแบบฉบับออสเตรียดั้งเดิม บางหลังดูใหญ่โตเอามากๆ นั่นคือบ้านที่สร้างรวมกับคอกเลี้ยงสัตว์ ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า house barn หลังนี้อยู่กลางหมู่บ้านเลย แล้วกลิ่นก็แรงมากด้วย คนในหมู่บ้านคงจะเคยชินกันแล้ว
ชิวชิว.. บนเส้นทางจักรยานแม่น้ำอินน์
เมืองที่เราแวะค้างคืน เมือง Kufstein (ไม่ทราบว่าออกเสียงเช่นไร?) เป็นเมืองป้อมปราการ และเหมือนเคย เราได้แต่แหงนคอชื่นชมอยู่ข้างล่าง
ประตูย้อนอดีต หรือประตูเมืองเก่า
เช้าของอีกวันเราโบกมืออำลาแม่น้ำอินน์ มุ่งหน้าสู่ภูเขา วันนี้เราต้องข้ามภูเขาลูกไม่ใหญ่ แต่ก็ไม่เล็ก เป็นเส้นทางผ่านป่าที่มีต้นไม้สูงใหญ่ แม้จะมีแต่ขึ้น ขึ้น และขึ้น ไปหลายกิโลเมตร ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าต้องมีการเข็นทัวร์
แต่วิวที่มองลงไปมันสวยมากมาย ขณะที่เขียนบล็อกนี้ อ้อยหวานได้ยินเสียงตัวเองร้องบอกคนข้างตัวว่า อยากกลับไปเข็นจักรยานที่นั่นอีก
พ้นเขาสูงใหญ่ลูกนั้น เราก็พบกับฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ทุ่งหญ้าขียวขจี และหมู่บ้านบนเขา เสาที่เห็นกลางหมู่บ้านคือ เสาเมย์โพล (maypole) แปลกันตรงตัวว่า เสาพฤษภาคม คือเสาที่ใช้ในงานเทศกาลเมย์เดย์ ซึ่งมีขึ้นในวันที่หนึ่งของเดือนเมย์หรือพฤษภาคม และถือกันว่าเป็นวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ หลายประเทศในยุโรบถือเป็นประเพณีสืบต่อกันมาช้านาน อาจจะแตกต่างกันบ้างในแต่ละประเทศ แต่ส่วนใหญ่จะมีงานเลี้ยง มีการเต้นรำและร้องเพลงรอบๆ เสาเมย์โพล เราพลาดงานนี้ไปตั้งเดือนกว่า แต่ก็ยังดีที่เขาทิ้งเสาไว้ให้คนพลาดงานได้ชม
แม้เราจะพ้นเนินใหญ่มาแล้ว แต่เส้นทางก็ขึ้นๆ ลงๆ ไปตามไหล่เขา บางเนินดูราวกับว่าเรากำลังทะยานสู่ท้องฟ้า
ใช่เลย..สูงสุดฟ้า แต่ล้อติดดิน
บนเส้นทางวันนี้เราได้ชมบ้านบนภูเขาแบบออสเตรียแท้ มากมายหลายหลัง ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ของการปั่นจักรยานเที่ยวในออสเตรียแอลป์
ปรกติแล้วบ้านแบบออสเตรียดังเดิมจะมีเพียงสามชั้น แต่ก็มีบางหลังที่มี่สี่ชั้น แต่ละชั้นจะมีระเบียงไว้สำหรับชมวิวภูเขาอันตระการตา ระเบียงไม้ฉลุลวดลายงดงาม ในฤดูร้อนดอกไม้ในกระถางบนระเบียงบ้าน จะพากันเบ่งบานห้อยระย้าแต่งแต้มสีสันให้แก่บ้าน
บ้านเก่าหลายหลังถูกดัดแปลงให้เป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว หลังที่เป็นแบบเก่าดั้งเดิมจริงๆ จะมีหอระฆังเล็กๆ ตั้งเด่นอยู่บนหลังคา ในสมัยก่อนแม่บ้านจะสั่นระฆังเป็นการบอกกล่าวผู้คนที่ทำงานในไร่นาตามเนินเขา ว่าถึงเวลาทานอาหารแล้วจ้า
มาดูด้านข้างกันบ้าง บ้านออสเตรียแบบดั้งเดิม ที่เป็น house barn คือบ้านคนอยู่ด้านหน้าและข้างบน ส่วนหลังจะเป็นคอกเลี้ยงสัตว์ ในฤดูหนาวการอยู่รวมกันแบบนี้ทำให้อบอุ่น ในฤดูร้อนน้องวัวทุกตัวจะถูกต้อนไปอยู่บนเนินเขาที่สูงขึ้นไปอีก ช่วงที่เราไปฟาร์มส่วนใหญ่ได้ย้ายวัวออกไปแล้ว วัวพวกนี้คงจะได้ย้ายบ้านในเร็ววัน ส่วนหอระฆังบนหลังคาจะมีเชือกห้อยลงมาไว้ใช้สั่น
บ้านแต่ละหลังอยู่ห่างกันมาก แถบนี้ไม่ค่อยจะเป็นเมือง แต่ก็มีที่พักหรือโรงแรมเล็กๆ อยู่หลายแห่งไว้ต้อนรับผู้คนที่หนีร้อนจากในเมืองข้างล่าง ขึ้นมาพักผ่อน หรือมาเล่นสกีในฤดูหนาว ที่พักของเราอยู่เลยทะเลสาบไปไกลหลิบๆ เป็นโรงแรมเล็กๆ ที่คิดรวมค่าที่พัก อาหารมื้อค่ำ และมื้อเช้า
โปรดติดตาม ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ในตอนต่อไป
อ่าน ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอนที่แล้วได้ที่นี่
ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์
ตามหาโรมิโอและจูเลียต ที่..เวโรน่า
ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข
ขอบคุณค่ะ
อ้อยหวาน