การคืบคลานเข้าไปชมเทือกเขาแอลป์กับจักรยานนั้น เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก เพราะขึ้นชื่อว่าภูเขา ก็ไม่ใช่ที่ราบ ที่มีพื้นที่ราบเลียบเป็นแผ่นกระดาษ และถ้าขึ้นชื่อว่าเทือกเขาก็ยิ่งแล้วกันไปใหญ่
อย่างในภาษาอังกฤษเขาจะเติม ‘s’ ไปข้างหลังคำว่าภูเขา แปลว่า มากมาย ก่ายกอง
แต่หากใจสู้ก็ไม่ยากที่จะทำ จากบล็อกก่อนเส้นทางจักรยานของเราซอกแซก ขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในเหลือบเขา จุดที่สูงที่สุดย้งไม่เกิน 1000 เมตร แต่เมื่อเราข้ามมาถึงหุบเขาแม่น้ำอินน์ (Inn River) ในประเทศออสเตรีย เจ้าเทือกเขาตรงหน้าที่ขวางทางเราอยู่นั้นสูงไม่ใช่ย่อย ถึงใจจะสู้ยังไง เจ้าสองขาของอ้อยหวานก็ยังยืนยันว่า ไม่สู้ด้วยหรอก! ขอปั่นไปเพียงแค่สถานีรถไฟ แล้วให้รถไฟพาข้ามเขาไปดีกว่า
เช้าวันต่อมาจักรยานสองคันก็ได้นั่งรถไฟอย่างสบายอารมณ์ รถไฟของที่นี่ส่วนใหญ่จะมีที่สำหรับจักรยาน ซึ่งสะดวกสบายมาก แต่จักรยานก็ต้องซื้อตั๋วนะ ไม่ได้ขึ้นฟรี
รถไฟใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ พาเราเข้าๆ ออกๆ ผ่านอุโมงค์ ขึ้นไปบนช่องเขา Brenner Pass ที่อยู่ในประเทศอิตาลีติดชายแดนออสเตรีย แม้นช่องเขา Brenner Pass จะเป็นช่องเขาที่สูงน้อยที่สุดในแถบนี้ ซึ่งสูงเพียง1370 เมตร (เท่านั้นเอง) แต่ถ้าต้องปั่นจักรยานข้ามไปคงจะหนักหนาสาหัสแน่นอน
บนช่องเขา Brenner Pass อิตาลี มีเส้นทางจักรยานที่ชื่อว่า เบร็นเนอร์-โบลซาโน (Brenner-Bolzano Cycle Route) จัดว่าเป็นเส้นทางจักรยานที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลี และเป็นทางลาดยางอย่างดีด้วย ช่วงแรกๆ จากสถานีรถไฟ เส้นทางยังราบเรียบ และขนานไปกับถนนไฮเวย์และทางรถไฟใหม่
ส่วนทางรถไฟเก่า ก็กลายเป็นทางจักรยานไป มีเพื่อนร่วมอุดมการณ์อยู่หลายคัน ออกจากรถไฟคันเดียวกัน และปั่นออกจากสถานีมาพร้อมๆ กัน แต่หลังจากนี้เพื่อนร่วมอุดมการณ์เหล่านั้น ก็ทิ้งเราไปไกลลิบลิ่ว เพราะอ้อยหวานมัวแต่อ้อยอิ่งหยุดเก็บภาพดอกไม้ และวิวงามๆ ไปตลอดทาง
ดูดิ..เป็นเส้นทางที่สวยและมีดอกไม้ริมทางอยู่มากมาย มากที่สุดในทริปนี้ก็ว่าได้ คนอิตาลีค่อนข้างเคร่งศาสนา ศาลเล็กๆ ที่มีไม้กางเขน หรือรูปพระแม่มารีอา มีให้เห็นตลอดทาง
แม้นวันนี้ฝนจะตกปรอยๆ เกือบทั้งวัน กล้องของอ้อยหวานก็ยังต้องทำงานหนักและเกือบจะไม่สบาย คืนนั้นเกิดอาการไม่สู้ดี ทำให้เจ้าของใจแป้วลงไปถนัด แต่พอได้พักสักนิด วันต่อมาก็ทำงานดีเหมือนเดิม ไม่ต้องกินยาหรือหาหมอเลย อึดจริงๆ ภาพดอกไม้จะมีบล็อกเฉพาะในตอนหลังนะค่ะ สมุนดอกไม้โปรดอดใจรอ
เส้นทางจักรยานเบร็นเนอร์-โบลซาโน (Brenner-Bolzano Cycle Route) นี้ วิ่งผ่านหมู่บ้านและเมืองในหุบเขาหลายแห่ง แต่ละแห่งก็สวยงามไม่แพ้กัน เราแวะทานข้าวกลางวันกันที่เมือง Vipiteno Sterzing เมืองในหุบเขา
อีกมุมหนึ่งของเมือง Vipiteno Sterzing เมืองเล็กๆ แต่ชื่อยาว ที่ชื่อยาวก็เพราะแถบนี้มีทั้งคนพูดภาษาเยอรมันและคนพูดภาษาอิตาลี คนพูดภาษาเยอรมันเขาเรียกเมืองนี้ว่า Sterzing ส่วนคนพูดภาษาอิตาลีกลับใช้อีกชื่อ Vipiteno ในแผนที่กูเกิ้ลก็เลยใช้ไปสองชื่อเลยจะได้ไม่ตีกัน
เส้นทางนี้มีปราสาทเก่าแก่อยู่หลายแห่ง และอยู่กันบนที่สูงๆ ดุจพญาอินทรีย์กันทั้งนั้น
เราแวะเติมน้ำกันที่นี่ น้ำพุอันนี้สร้างขึ้นในปี 1867 ขอย้ำว่าน้ำบนภูเขาแอลป์นี้ อร่อยอย่าบอกใครเลย
หุบเขาค่อยๆ แผ่กว้างขึ้น เราปั่นผ่านฟาร์มกลางหุบเขาหลายแห่งและดูสะอาด เรียบร้อยอย่างนี้ไปทุกแห่ง มีเพียงแต่กลิ่นเท่านั้นที่ยังฟ้องอยู่ แต่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์จะให้มีกลิ่นหอมเหมือนสวนดอกไม้ ก็คงจะเป็นไปไม่ได้
ฟาร์มอีกแห่งหนึ่ง เขากล่าวกันว่านมวัวจากเทือกเขาแอลป์นี้มีคุณภาพยอดเยี่ยม และรสชาติดีเยี่ยม เพราะฝูงวัวเดินทานหญ้าปลอดสาร ในที่กว้างกลางหุบเขาสูง ที่มีอากาศดี (และวิวสวย) เดินกันอย่างอิสระไม่ได้อยู่ในที่กักกันแคบๆ เรียกได้ว่าเป็น ‘แฮปปี้ คาว’ ตัวจริง เขามีรั้วไฟฟ้าป้องกันวัวออกนอกทุ่งหญ้า ขึงอยู่ตลอดทาง และมีป้ายกำกับไว้ด้วย จะได้ไม่มีใครเดินเซ่อซ่าเข้าไป
ตกบ่ายท้องฟ้าก็ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำ ดูเหมือนว่ายอดเขาแต่ละยอดต่างพากันฉุดรั้งเมฆฝนเอาไว้ไม่ให้เลื่อนลอยไปแห่งใด ฝนที่ตกปรอยๆ เปลี่ยนโฉมมาเป็นพายุ ฝนห่าใหญ่สาดเทลงมา พร้อมกับสายฟ้าฟาด และลมพายุก็พัดโบกอย่างรุนแรง สองจักรยานรีบเร่งรุดไปไม่หยุดพักหลบพายุที่ใด เพราะกลัวว่าฟ้าจะมืดมิดก่อนถึงจุดหมาย วันนั้นเราไปถึงที่พักในสภาพเปียกปอนแบบที่ไม่เคยเปียกเช่นนี้มาก่อน และคืนนั้นฟ้าก็ร้องไห้อาละวาด ฟาดแข้ง ฟาดขาไปทั้งคืน ไม่มีหยุด
เมือง Bressanone Brixen เป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีทั้งคนพูดภาษาเยอรมันและคนพูดภาษาอิตาลีอาศัยอยู่ คนพูดภาษาเยอรมันเขาเรียกเมืองนี้ว่า Brixen ส่วนคนพูดภาษาอิตาลีเรียกว่า Bressanone และเช่นเคยแผนที่กูเกิ้ลใช้สองชื่อควบไปเลย จะได้ไม่มีใครงอน
เราออกเดินชมเมืองกันแต่เช้า เมืองทั้งเมืองปกคลุมไปด้วยหมอกเมฆ เมือง Bressanone Brixen นี้มีภูเขาติดชิดกับเมืองทั้งสองด้าน เกือบจะเรียกได้ว่าแนบสนิท มองซ้ายก็เขา มองขวาก็เขา จัดว่าเป็นเมืองที่สวยมากอีกเมืองหนึ่ง
น้ำพุสวยๆ ที่จัสตุรัสกลางเมือง
โบสถ์เก่าแก่ประจำเมือง ภายในโบสถ์อยู่ในระหว่างบูรณะซ่อมแซมเลยไม่ได้เข้าไปดู
ภาพวาดเก่าแก่บนเพดานระเบียงโบสถ์ มีอายุหลายร้อยปี แต่ยังแจ่มชัดงดงาม
เดินผ่านบ้านหลังนี้ ปลูกกุหลาบไว้สวยมาก ทำให้อ้อยหวานนึกถึงกุหลาบโปรวองซ์
พยากรณ์อากาศบอกไว้ว่าวันนี้จะเป็นอีกวันหนึ่งที่มีพายุฝน เดินชมเมืองยังไม่ทั่ว ฝนก็เริ่มโปรยปราย..
หลังจากที่ปั่นจักรยานตากฝนมาสองวันซ้อนๆ กัน วันนี้ขอพักจากฝนโดยการเข็นจักรยานขึ้นรถไฟอีกครั้ง ไปยังเมือง Bolzano Bozen ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 50 กิโลเมตร นี่ก็เป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีสองชื่อ ลองเดาดูนะคะ ว่าชื่อไหนเป็นของใคร
ไปถึงเมือง Bolzano Bozen พายุฝนก็พากันมาต้อนรับเสียห่าใหญ่ๆ เมืองทั้งเมืองถูกปกคลุมด้วยม่านเมฆสีดำ และมีดอกร่มขึ้นอยู่กระจัดกระจาย
ตึกสีชมพูที่เห็นอยู่ทางซ้ายมือในรูปคือที่พักของเราในคืนนี้ ตั้งอยู่ตรงจัสตุรัสกลางเมืองพอดิบพอดี พอฝนซาลง เรารีบออกมาชมเมืองพร้อมๆ กับนักท่องเที่ยวอีกมากมาย แต่ฝนหยุดพักแค่ช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากนั้นก็หลั่งไหลยังกับนางฟ้าตั้งใจบิดผ้าห่มเมฆให้แห้ง ยังไงยังงั้น แต่เรามีตึกสีชมพูให้ไปหลบฝน ขอเพียงนางฟ้าบิดผ้าห่มเมฆให้แห้งเสียในคืนนี้ พรุ่งนี้จักรยานจะได้ออกไปเริงร่าเบิกบาน...
โปรดติดตาม ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ในตอนต่อไป
อ่าน ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอนที่แล้วได้ที่นี่
ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์
ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข
ขอบคุณค่ะ
อ้อยหวาน