Earth and sky, woods and fields, lakes and rivers, the mountain and the sea, are excellent schoolmasters, and teach some of us more than we can ever learn from books.
โลกและท้องฟ้า ป่าและทุ่งหญ้า ทะเลสาบและแม่น้ำ ภูเขาและทะเล เหล่านี้ล้วนเป็นครูที่ดีเยี่ยม ทำให้เราเรียนรู้ได้ดีกว่าเรียนรู้จากในหนังสือ
-John Lubbock
การอ่านหนังสือมากมายหลายสิบเล่มไม่เทียบเท่ากับการพาตัวเองออกไปผจญภัยและท่องเที่ยวในโลกกว้าง การอ่านเป็นเพียงการวางพื้นฐานความรู้น้อยๆ แต่การได้ไปยืนอยู่ตรงจุดนั้นๆ สายตาพลันมองเห็น จมูกสูดดมกลิ่น หูได้ยินเสียง กายสัมผัสสายลมไหว หันมองรอบกายมีแต่สิ่งสดใหม่ที่การอ่านไม่สามารถให้ได้
อ้อยหวานรักอิสระเต็มร้อยของการปั่นจักรยานเที่ยว อิสระในการไปไหนมาไหน ซึ่งบางครั้งต้องขึ้นรถไฟ ลงเรือ จักรยานก็ไปด้วยได้ ไปถึงที่ก็ไม่ต้องง้อรถเท็กซี่หรือรถอะไรทั้งนั้น และที่สำคัญคือ จะปรับ และเปลี่ยน แผนการเดินทางก็ทำได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะปรับเปลี่ยนตามใจเรา คืออยากไปที่โน่นหยุดที่นี่และไม่หยุดที่นั่น หรือปรับเปลี่ยนตามใจ (ภู) เขา หรือสภาพรอบตัว เราก็มีอิสระที่จะปรับเปลี่ยนได้ และอิสระที่เป็นจุดสำคัญของการปั่นจักรยานเที่ยวคือ การได้นั่งบนสองล้อ ปั่นไปตามกำลังขา และตามใจฉัน สายลมไหวผ่านกาย
สัมผัสโลกกว้างที่อยู่ตรงหน้าได้เกือบเหมือนนกน้อยโผบิน มันเป็นอิสระเที่ยวที่ไร้เทียมทาน..
เช้านี้เราเก็บของและปั่นจักรยานออกจากที่พัก ในเวลาที่คนส่วนใหญ่ยังนอนหลับไหล มุ่งตรงไปยังสถานีรถไฟกาญจนบุรี นับเป็นครั้งที่สองที่เราพาจักรยานนั่งรถไฟ แต่ก็ไม่ใช่รถไฟสายธรรมดาๆ นะ รถไฟสายนี้เรียกกันหลายชื่อเช่น ทางรถไฟสายพม่า (Burma Railway) ทางรถไฟสายพม่า-ไทย (Burma–Siam Railway) ทางรถไฟสายไทย-พม่า (Thailand–Burma Railway) และที่รูัจักกันแพร่หลายคือ ทางรถไฟสายมรณะ (Death Railway) ซึ่งเป็นชื่อที่ได้จากอดีตอันโหดร้ายทารุณและขมขื่นในการก่อสร้างรถไฟสายนี้
อ้อยหวานขอแนะนำถ้ามาที่กาญจนบุรี อย่าลืมใส่โปรแกรมนั่งรถไฟสายนี้ไปด้วย เพราะสนุกเพลิดเพลินดีจริงๆ วิวสวยตลอดเส้นทาง
รถไฟรอบแรกสุดของวันออกจากสถานีต้นทางคือ สถานีชุมทางหนองปลาดุก เวลา 4.35 น. มาถึงสถานีกาญฯ 5.52 น. ถ้าพลาดขบวนนี้ก็ต้องรอไปจนถึง 10.25 น. เลยทีเดียว และแต่ละวันก็มีเพียงเที่ยวไปสามและเที่ยวกลับสามเที่ยวเท่านั้น เราต้องไปที่สถานีก่อนเวลาเพื่อซื้อตั๋วในราคาที่เท่าเทียมกัน ต่างชาติ 100 บาท คนไทยฟรี!! ระยะทางประมาณ 77 กิโลเมตร และใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง
ประวัติทางรถไฟสายมรณะสร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยรัฐบาลญี่ปุ่นขอยืมเงินจากรัฐบาลไทย จำนวน 4 ล้านบาท การก่อสร้างใช้เวลาในการสร้างเสร็จเพียง 1 ปี ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2485 ถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2486 เพื่อใช้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ผ่านประเทศพม่า หลังสงครามทางรถไฟบางส่วนถูกรื้อทิ้ง บางส่วนจมอยู่ใต้อ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณ์ ทางรถไฟสายนี้ถือเป็นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงเหตุการณ์สงครามในครั้งนั้น เนื่องจากน้ำพักน้ำแรงของการบุกเบิกก่อสร้าง เป็นของทหารเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ที่กองทัพญี่ปุ่นเกณฑ์มา
ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย
พอใกล้จะถึงสถานีถ้ำกระแซ ทิวทัศน์ตามรายทางก็เริ่มเปลี่ยนไป บริเวณนี้ส่วนใหญ่จะเป็นผาหิน มีการสร้างสะพานยาวประมาณ 450 เมตร ลัดเลาะไปตามเชิงผาสูง เลียบไปกับลำน้ำแควน้อย
อ่านรายละเอียดรวมทั้งการเดินทางและตารางเวลารถไฟสายมรณะ ได้ที่ kanchanaburi.co
ทางรถไฟมาสิ้นสุดปลายทางที่บ้านท่าเสาหรือสถานีน้ำตก เราแวะทานข้าวเช้ากันอีกมื้อที่สถานีน้ำตก กว่าล้อจะเริ่มหมุนอีกครั้งก็เข้ายามสาย เราสองคนไม่หวั่นใจกับเส้นทางคดโค้งขึ้นเขา แต่หนักใจกับอากาศร้อนที่พุ่งสูงถึง 35 องศาในวันนั้น จะเร่งรีบเช่นไรก็ยังเป็นเต่าคลานต้วมเตี้ยมอยู่ดี และเป็นเต่าที่กำลังจะละลายอยู่ริมถนน เพราะเส้นทางวันนี้มันโหดจริงๆ
เราแวะสถานที่ท่องเที่ยวแห่งเดียวในหลายๆ สถานที่ท่องเที่ยวบนเส้นทางนี้ คุณผู้ชายอยากแวะชมช่องเขาขาด หรือช่องไฟนรก (Hellfire Pass) ชื่อภาษาอังกฤษที่ได้มาจากแสงไฟและเงาสะท้อนจากคบไฟ ที่จุดขึ้นสำหรับเหล่าเชลยที่ทำงานในเวลากลางคืน เงาวูบวาบที่ดูราวกับว่าเป็นเปลวเพลิงแห่งนรก
มีนักท่องเที่ยวมาชมกันมากมาย รถบัสคันโตจอดอยู่ในที่จอดรถเป็นสิบ-ยี่สิบคัน มิน่าละ ระหว่างทางรถเยอะยังกับมีงานมหกรรม แต่..เราต้องเข้าร่วมกลุ่มผิดหวังกับนักท่องเที่ยวเหล่านั้น เพราะเส้นทางเดินลงไปยังบริเวณช่องเขาขาดปิดซ่อม เดินไปเก็บรูปได้แค่ตรงปากทาง แม้พิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาดจะจัดอย่างสวยงามและน่าสนใจมากเพียงใด แต่จำนวนผู้เข้าชมมันมากมายจริงๆ เราถอยทัพขอยอมแพ้ออกมา
และอ้อยหวานรักที่จะชมวิวทิวทัศน์ ยอดเขา และไร่สวนมากกว่า ไปแย่งกันชมกับคนเป็นฝูง
ดูไร่สตอร์เบอรี่นี้สิ ไม่รู้ว่าเขาใช้ใบอะไรคลุมดิน ดูเรียบร้อยสะอาดตามาก
มาถึงนี้ก็จอดอีก ถ้าไม่ได้คู่ปั่นที่ใจเย็นอย่างคุณผู้ชาย ป่านนี้คงโดนทิ้งไปแล้ว
เส้นทางในวันนี้ช่างคดโค้ง ขึ้นเขาลงเนินอยู่ตลอด เป็นระยะ 65.9 กิโลเมตรที่แสนโหด บวกกับอากาศร้อนถึง 35 องศา มันช่างหนักหนาแสนสาหัส!! เพราะไปบ่นว่าใครไม่ได้ จำยอมก้มหน้าก้มตาปั่น และบ่อยครั้งต้องลงเข็นครก (จักรยาน) ขึ้นภูเขา ประจวบกับถนนสาย 323 นี้ มีรถวิ่งกันขวักไขว่ ทั้งรถบัสคันใหญ่ รถเมล์ รถบรรทุก และประการสุดท้ายที่เราเห็นพ้องต้องกันว่าเวรี่แบด!! (very bad) คือรถยนต์ป้ายทะเบียน กทม ขับรถกันซิ่งสุดเหวี่ยงเหมือนกับเก็บกด คงเป็นเพราะที่เมืองเทวดาไม่สามารถทำได้
เราไปถึงที่พักในสภาพร่อแร่ คุณผู้ชายถึงกับประกาศก้องว่า พรุ่งนี้จะไม่ไปไหน จะนอนดูสายน้ำไหล และ อบ ไอ แอร์ และไอหมอก ให้ชื่นฉ่ำไปเลย
มวลดอกไม้อบร่ำสายหมอก
หลังจากได้พักอย่างจริงๆ จังๆ ไปหนึ่งวัน เช้าวันรุ่งขึ้นสองคนบนสองล้อก็ได้ทยานปั่นออกไปท่ามกลางสายหมอก เรื่องร้ายๆ ของวันก่อนเราลืมไปหมดสิ้น เราปรับเปลี่ยนเส้นทางของวันนี้ คุณผู้ชายได้ศึกษาแผนที่กูเกิ้ลอย่างละเอียด แล้วปรากฎว่าฟ้ายังปราณีเรา ยังมีถนนสายน้อยที่แล่นผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่ ป่าเขาลำเนาไพร คดเคี้ยว คดโค้ง ขึ้นลงยังกับลูกคลื่น แต่เป็นเส้นทางสุดสวย อีกหนึ่งเส้นทางที่เรายกนิ้วให้เป็น ‘เส้นทางในฝันของนักปั่นจักรยาน’ ถนนเลียบแม่น้ำแควน้อย ฝั่งตรงกันข้ามกับถนนสาย 323
(เข็น) ไต่ระดับความสูง
หยุดทุกที่ที่ใจอยาก
ภาพนี้คือภาพที่คุณผู้ชายหยุดเก็บภาพในรูปข้างบน ภาพทิวเขาสลับสับซ้อน มีเมฆหมอกคลอเคลียไปตามไหล่เขา ให้บรรยากาศสวยงามดุจภาพวาด ใครเล่าที่ไม่หลงไหล
เจ้าถิ่นยืนขวางถนน แต่รายนี้อ่อนโยนไม่วิ่งไล่งับคนบนจักรยาน
ท่ามกลางภูผาในซอกหลืบของขุนเขา
แผนที่เส้นทางในฝันของวันนี้ หินตาดสู่ทองผาภูมิ เลาะเลียบในซอกเขาตะนาวศรี ซ้ายขวาคือภูผา ด้านล่างลึกลงไปคือลำน้ำแควน้อย
ดอกไม้ริมทางสีม่วงสุดสวยกับเจ้าถิ่นจอมทรนง แต่อ่อนโยน แม้จะไม่ทราบชื่อเรียงนามของเธอ (ดอกไม้) แต่พวกเธอก็ยืนเรียงรายริมเนินเขา คอยให้กำลังใจแก่นักปั่นที่กลายเป็นนักเข็น
โปรดติดตามปั่นเที่ยวไทยกับอ้อยหวานในตอนต่อไป
อ่านปั่นเที่ยวไทยตอนที่แล้วได้ที่นี่
ปั่นจักรยานทัวร์ริ่ง มันปิ้ง ปิ้ง จริงๆ นะ
หอมกลิ่นไอฝน ยลความงามสีเขียว ณ.เชิงเขานครศรีธรรมราช
เยือนถิ่นตะนาวศรี ดินแดนแห่งขุนเขา ณ.สวนผึ้ง
อดีต..กับ..ปัจจุบัน ที่กาญจนบุรี
ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข
ขอบคุณค่ะ
อ้อยหวาน